เมื่อเร็วๆนี้ คณะผู้บริหาร และพนักงาน ธ.ก.ส. นำโดย “ณรงค์ ขันติวิริยะกุล” รองผู้จัดการ ธ.ก.ส. มีโอกาสลงพื้นที่เยี่ยมเยือนชุมชนและมอบรางวัล พร้อมระบุเป้าหมายที่ต้องการขับเคลื่อนบ้านบางนุ จากชุมชนอุดมสุขไปเป็นแกนกลางการเกษตร (Essence of Agriculture) ยึดแนวทางการพัฒนาสินค้าเกษตรที่มีมูลค่าสูงและเกษตรคาร์บอนต่ำ

เน้นหลักการสนับสนุนการเกษตรแบบใหม่ ควบคู่ไปกับการตลาด ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อพัฒนาตั้งแต่กระบวนการผลิต ไปจนถึงการยกระดับผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพสูง ภายใต้การเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้ มองว่าการขับเคลื่อนชุมชนถือเป็นช่องทางเรียนรู้ทั้งการผลิต การตลาด การจัดการ ทำให้ชุมชนที่ประสบความสำเร็จแล้วได้เป็นแหล่งแลกเปลี่ยนส่งต่อชุมชนอื่น ๆ จนกลายเป็นการสร้างเครือข่ายภายใต้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ที่มีเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs)

จุดเด่น” บ้านบางนุคือ การขับเคลื่อนการตลาดในชื่อแบรนด์ “หลาดลองแล” ที่มี “จุดแข็ง” เป็นการเปิดตลาดรองรับสินค้าการเกษตรของสมาชิกในชุมชน ทำให้ได้ทั้งของดี ราคาถูก มีมาตรฐาน โดยเปิดดำเนินการต่อเนื่องมานานกว่า 7 ปี

หลาดลองแลไม่เพียงมีของกินที่ปลอดสารพิษจำหน่าย แต่ยังใช้การบริหารจัดการตามหลักการรักษ์โลก ด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ย่อยสลายง่าย หรือรีไซเคิลได้ อาทิ การนำหลอดพลาสติกมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ หมอนหลอด และที่นอนหลอด เพื่อแก้อาการแผลกดทับของผู้ป่วยติดเดียง เป็นต้น

ด้าน “เสริมศรี ทองสกุล” ผู้ใหญ่บ้าน ม.6 บ้านบางนุ เล่าว่า “หลาดลองแล” หรือ “ตลาดลองแล” เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2560 ด้วยความร่วมแรงร่วมใจของชาวชุมชน เพื่อเปิดโอกาสให้เกษตร คนในหมู่บ้าน หรือชุมชนใกล้เคียง ได้นำผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพมาจำหน่าย ที่สำคัญคือการเป็นตลาดรักษ์โลก เพราะปลอดการใช้โฟม เน้นความสะอาด ปลอดภัย จนกลายเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

นอกเหนือการค้าขาย ยังเปิดเป็นเวทีให้เด็กและเยาวชนได้มีพื้นที่แสดงความสามารถ ได้แสดงออกถึงความถนัด ถือเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากฐานรากอย่างแท้จริง ปัจจุบันตลาดลองแลได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นทั้งจากประชาชนและนักท่องเที่ยวจากจังหวัดใกล้เคียง สังเกตได้จากจำนวนการเข้าชมและเลือกซื้อสินค้าที่คึกคักไม่ขาดสายตั้งแต่เปิดตลาดเวลา 08.00 – 16.00 น. ทุกวันอาทิตย์

ภาพปัจจุบันบ้านบางนุดูคึกคัก เข้มแข็ง แต่หากย้อนไปในวิถีดั้งเดิมและอาชีพของชาวบ้านคือ การประกอบกิจการเหมืองแร่ จากยุครุ่งเรืองสู่ยุคถดถอย เมื่อแร่ดีบุกไม่ได้ราคาดีเหมือนเดิม จึงแปรเปลี่ยนอาชีพจากลูกจ้างเหมืองแร่มาทำอาชีพเกษตรกรรม

อย่างไรก็ตาม เพราะสภาพพื้นที่ที่ทำเหมืองแร่มานาน สิ่งแวดล้อมจึงได้รับผลกระทบ ประกอบสภาพอากาศที่มีปริมาณฝนมาก เรียกกันว่า “ฝนแปดแดดสี่” ทำให้เกษตรกรที่ปลูกยางพารามีรายได้ไม่พอรายจ่าย เพราะราคาผลผลิตตกต่ำ ขณะที่ต้นทุนการผลิตสูง รวมถึงการเผชิญปัญหาใช้สารเคมีโดยขาดองค์ความรู้ จนสุดท้ายทั้งชุมชนต้องลุกขึ้นมาพร้อมใจกันขับเคลื่อน หาทางออกปัญหา ภายใต้การสนับสนุนของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน

กระทั่งปัจจุบันบ้านบางนุ มีทั้งผลิตภัณฑ์ในพื้นที่ที่มีคุณภาพ มีตลาดชุมชนรองรับที่เข้มแข็ง และกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เรียกได้เต็มปากว่าเป็น Soft Power ท้องถิ่นอย่างแท้จริง