เมื่อวันที่ 20 ก.พ.รายการโหนกระแสวันนี้ พูดคุยกรณี เหตุการณ์ชายตบหน้าพยาบาล 2 ครั้งที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ใน จ.ระยอง เนื่องจากไม่พอใจที่พยาบาลเตือนภรรยาของผู้ก่อเหตุ ให้พาลูกเล็กออกไปจากห้องผู้ป่วย หลังพยายามพาลูกเข้าไปเยี่ยมคุณยายที่ป่วยไข้หวัดใหญ่ติดเชื้อลงปอด แต่เนื่องจากเตือนหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายใช้ถ้อยคำที่กระทบความรู้สึก จนภรรยาและลูกกลับไปเล่าให้สามีที่รออยู่ด้านนอกฟัง สามีจึงกลับเข้ามาถามว่าใครพูดไม่ดีกับภรรยาของเขา ก่อนจะโกรธและใช้กำลังทำร้ายพยาบาล หลังเกิดเหตุพยาบาลได้แจ้งความและยืนยันว่าจะดำเนินคดีถึงที่สุด

โดยเมื่อวานนี้ (19 ก.พ.) นายกองตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ปฏิบัติหน้าที่ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข เปิดภาพจากกล้องวงจรปิด เป็นเหตุการณ์ที่ชายผู้ก่อเหตุ เดินเข้าไปที่บริเวณเคาน์เตอร์พยาบาล ถามหาว่าใครเป็นคนที่พูดไม่ดีกับภรรยาของตน ก่อนที่ผู้เสียหายจะเดินเข้ามาแสดงตัว จากยนั้นชายผู้ก่อเหตุก็ลงมือตบหน้าพยาบาลคนดังกล่าวอย่างแรง แล้วก็ตบซ้ำเข้าไปอีกครั้ง ก่อนจะมีการพูดบางสิ่งบางอย่าง แล้วเดินออกจากพื้นที่ไป

ล่าสุดในรายการโหนกระแสวันนี้ ได้พยาบาลที่อยู่ในเหตุการณ์ (ไม่ใช่คนที่ถูกตบ) มาร่วมเล่าเหตุการณ์ในรายการ ร่วมกับทาง นายกองตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ปฏิบัติหน้าที่ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข และทาง ผอ.โรงพยาบาล เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด

แต่ประเด็นร้อนแรงนี้ ทำให้เกิดการถกเถียง และคอมเมนต์แตกเป็นสองฝั่ง  โดยฝ่ายหนึ่งมองว่า จุดเริ่มต้นมาจากการที่พยาบาลใช้คำพูดไม่ดี หรือใช้น้ำเสียงที่ไม่ดีก่อนหรือเปล่า หลายคนบอกว่าเคยเจอเหตุการณ์ที่บุคลากรทางการแพทย์พูดจาไม่ค่อยดีด้วย ก็เข้าใจความรู้สึกโกรธ

ขณะที่อีกฝ่ายมองว่า ต่อให้อ้างว่าใช้คำพูดไม่ดียังไง ก็ไม่มีสิทธิ์จะไปทำร้ายร่างกายใคร แล้วที่สำคัญคือ สิ่งที่พยาบาลพูด ก็เพื่อความปลอดภัยของเด็กและญาติเอง เป็นเจตนาที่ดี สมควรต้องมาเจอเหตุการณ์นี้ไหม?

ในรายการมีการโฟนอิน ทั้งฝ่ายคุณปราย พยาบาลที่ถูกตบหน้า เล่าว่า ตนไปช่วยเคสนี้ ซึ่งไม่ใช่เคสของตนโดยตรง แต่เนื่องจากว่าเคสเยอะ งานยุ่ง จึงไปช่วยน้องเช็ดตัวเปลี่ยนชุดผู้ป่วย

ทางน้องพยาบาลเจ้าของเคสบอกกับตนว่า ได้แจ้งญาติไปแล้วว่าไม่ให้นำเด็กเข้ามา  แต่คนไข้ก็ยังพาเด็กเข้ามาอีก จึงรับปากว่าจะไปแจ้งให้

พอออกจากห้องความดันลบ ไปเจอลูกสาวคนไข้ พาเด็กมา จึงพูดไปว่า “คนไข้อาการไม่ดี ติดเชื้อลงปอด ขนาดคุณแม่เป็นผู้ใหญ่ติดเชื้ออาการยังเป็นขนาดนี้ ถ้าลูกติดเชื้อแล้วลงปอดไปด้วย ลูกอาการแย่ได้เลยนะ ญาติพร้อมจะสูญเสียทั้งสองมั้ย ถ้าติดแล้วอาการไม่ดี ถ้าไม่พร้อมจะสูญเสียใคร ก็ให้พาเด็กออกไป”

ยอมรับว่าพูดเสียงดัง จริงจัง แต่ก็เพื่อให้คนไข้ตระหนักถึงความรุนแรงของเชื้อ เราคิดว่าพยาบาลได้เตือนไปแล้ว 1 ครั้ง ถ้าต้องเตือนซ้ำ ก็ต้องใช้เสียงที่ดังแล้วจริงจัง เพื่อให้เขาตระหนัก แต่สุดท้ายก็เกิดเหตุตามในคลิปวงจรปิด

ส่วนทางคุณหนู ภรรยาของชายที่ตบพยาบาล โฟนอินในรายการ เริ่มต้นด้วยการขอโทษพยาบาลที่ถูกทำร้าย ขอโทษพยาบาลและทางโรงพยาบาลที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น เราเองก็ต่อว่าสามี ไม่เห็นด้วยกับเรื่องการใช้ความรุนแรง เรื่องนี้เรายอมรับผิด

แต่เหตุการณ์ที่เกิดในวันดังกล่าว สามีเป็นคนพาลูกไปตรงห้องที่จะเยี่ยมคุณยาย พยาบาลคนแรก (ไม่ใช่คนที่ถูกตบ) เป็นคนเตือนก่อน เตือนด้วยคำพูดที่ดีมาก บอกว่า ไม่อยากให้พาเด็กเข้ามาเลยค่ะ คุณพ่อก็บอกว่า ยายติดไข้จากน้องคนนี้แหละ น้องเพิ่งหาย เขาเป็นหลานคนโปรด อยากให้ยายได้เห็นหน้าหลาน จะได้มีกำลังใจ พยาบาลก็เข้าใจ เหมือนกับว่าเราขออนุญาตแล้ว แต่เขาบอกว่าให้รอก่อน เพราะคุณยายยังต้องเช็ดตัว เปลี่ยนชุด พ่อก็เลยพาน้องออกมา

ต่อมาเราเป็นคนพาลูกเข้าไป จะให้ไปเยี่ยมคุณย่า พยาบาลคนที่ถูกทำร้ายเขาเดินออกมา แล้วพูดว่า สูญเสียแม่ไปคนแล้ว จะสูญเสียลูกอีกคน ยอมรับได้เหรอ พาเด็กออกไป

เราก็รับสภาพ เราก็พาลูกออกมา ยอมรับว่าใจเสีย ลูกเราก็ถามว่า ทำไมพี่พยาบาลถึงดุเรา เขาไม่ขอโทษหนูเลย เขาไปเล่าพ่อเขาแบบนั้น ส่วนเราก็บอกสามีว่า วันนี้เรากลับก่อนดีกว่า เขาไม่ให้เด็กเยี่ยม แต่ว่าขอให้สามีไปดูแม่หน่อยก่อนจะกลับ

พอสามีไปยืนดูแม่ ก็เห็นว่าแม่อาการหนักจริงๆ แล้วคำพูดของพยาบาลที่พูดกับเราคงแวบเข้ามาในความคิด ทำให้เขามีอารมณ์แล้วก็ไปลงมือทำแบบนั้นลงไป

อยากให้แยกเรื่องนี้เป็นสองประเด็น ประเด็นแรกเราทำร้ายร่างกาย เราผิดแน่ๆ เราไม่มีข้อแก้ตัว เรายอมรับผิดที่ไปใช้ความรุนแรง ดำเนินคดีตามกฎหมาย เราก็ต้องยอมรับผลที่ตามมา อันนี้ประเด็นที่หนึ่ง

ประเด็นที่สอง อยากฝากถึงบุคลากรทางการแพทย์ เราเข้าใจว่างานนี้มันเหนื่อย มันเครียด แต่เวลาที่ตาสีตาสา ชาวบ้าน คนยากคนจนไปโรงพยาบาล อยากให้พูดกับเขาดีๆ ได้ไหม เพราะญาติคนไข้เขาไป ก็ไปในสภาพที่หนักเหมือนกัน บางคนก็ไปในสภาพที่ญาติอาการหนัก โคมา ไม่รู้จะรอดหรือไม่รอด เราต้องพูดเรื่องในภาพรวม ไม่ใช่เฉพาะเรา ต่างฝ่ายต่างกดดันในมุมของตัวเอง เราก็อยากให้เคสของเรามันเป็นตัวอย่าง เป็นบรรทัดฐาน ไม่อยากให้มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก ก็อยากให้พิจารณาว่าเรื่องนี้มันไม่ควรเกิดขึ้นอีกเลย

ขอบคุณรายการโหนกระแส