กรณี นายอัครเดช จันทแสง เจ้าของฉายา “โจ้ มหาเฮง” ลูกศิษย์พระอาจารย์ชื่อดังท่านหนึ่งใน จ.ร้อยเอ็ด เข้าไปแจ้งความร้องทุกข์ไว้กับพนักงานสอบสวน สภ.เสลภูมิ เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2567 ดำเนินคดีกับคุณนายผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดหนึ่งในภาคอีสานตอนบน ในข้อหาฉ้อโกงทรัพย์ เป็นการโกงเงินค่าสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นเงินคงค้างกว่า 10 ล้านบาทเศษ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ลูกศิษย์เกจิดังแจ้งเอาผิด ‘คุณนายผู้ว่าฯ’ เบี้ยวคืนเงิน 10 ล้าน ปมโควตาลอตเตอรี่
ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากมีการนำเสนอกรณีดังกล่าว ทำให้ประชาชนในจังหวัดร้อยเอ็ด จับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กันจำนวนมากเพราะต้องการให้เปิดชื่อ คุณนายผู้ว่าฯ คนดังกล่าวว่าเป็นใคร เนื่องจากคุณนายผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ภาคอีสานตอนบนมีถึง 12 คน ผู้สื่อข่าวจึงเดินทางไปที่ร้านโจ้ มหาเฮง อยู่ถนนเลี่ยงเมืองแถวสี่แยกเลี่ยงเมืองไป อ.ธวัชบุรี เขตอำเภอเมืองร้อยเอ็ด เพื่อขอพบกับนายอัครเดช จันทแสง หรือโจ้ มหาเฮง แต่ไม่พบตัว พบเพียงทีมงานคนใกล้ชิด ที่แจ้งว่า เสี่ยโจ้ มหาเฮง เดินทางไปดูร้านพระเครื่องที่ จ.อุบลราชธานี ตั้งแต่วานนี้ ผู้สื่อข่าวจึงพยายามติดต่อทางโทรศัพท์แต่ไม่สามารถติดต่อได้
ทีมงานคนใกล้ชิดโจ้ มหาเฮง เปิดเผยว่า เรื่องนี้ เสี่ยโจ้ มหาเฮง ต้องการเพียงที่จะขอรับเงินส่วนที่เหลือคืนทั้งหมด เนื่องจากตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 ที่ได้ผิดนัดในการนำสลากมาส่งตามข้อตกลง การเข้าแจ้งความที่ สภ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2567 ก็เนื่องจากเกรงว่าการผิดนัดชำระหนี้ที่เหลือและการเรียกเงินคืนทั้งหมดนั้นเป็นคดีฉ้อโกงทรัพย์จะขาดอายุความ ยอมรับว่าที่ผ่านมาก่อนที่จะแจ้งความก็มีการต่อรองกันไปแล้วมากกว่า 20 ครั้ง จนเกรงว่าจะไม่ได้เงินคืนเพราะเงินจำนวนดังกล่าว เป็นการระดมเงินจากกลุ่มเพื่อนๆ รวม 16,200,000 บาท ไม่ใช่เงินเสี่ยโจ้คนเดียว แต่ก็มีทีมงานที่หวังว่าจะนำสลากกินแบ่งรัฐบาลมากระจายจำหน่ายเพื่อเป็นรายได้ก็เท่านั้น อีกทั้งทีมงานที่ร่วมลงทุนก็จำเป็นที่จะต้องใช้เงิน หากไม่ได้สลากก็ควรที่จะนำเงินมาคืนทั้งหมดให้เร็วที่สุด

“ทั้งนี้ภายหลังจากที่เป็นข่าว คุณนายผู้ว่าราชการจังหวัดคนนี้ ก็ได้ติดต่อมาทันที ที่การพูดคุยค่อนข้างจะมีความเครียดแต่ได้ยืนยันว่าได้ไปติดต่อธนาคารฯ เพื่อขอถอนเงินและจะนำเงินส่วนที่เหลือกว่า 10 ล้านบาทเศษ มาคืนให้ทั้งหมด ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่ง เสี่ยโจ้ มหาเฮง ก็พร้อมที่จะให้โอกาส แต่หากไม่ได้ก็จะดำเนินการต่อไป ในส่วนที่สื่อมวลชนต้องการทราบว่าเป็นใครนั้น ในขณะนี้ก็ขอปิดเอาไว้ก่อน หากไม่ได้เงินก็จะพิจารณาเปิดเผยทั้งหมดว่า คุณนายผู้ว่าฯ คนนี้คือใคร ทั้งนี้ทีมงานโจ้ มหาเฮงระบุด้วยว่า มีภาพถ่ายตอนรับเงินและสัญญาที่ตกลงทำกันไว้แล้ว หากไม่ได้ก็คงจะตัดสินใจดำเนินการต่อไปทันที” ทีมงานคนใกล้ชิดโจ้ มหาเฮง กล่าว
รายงานแจ้งว่ากรณีดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเดือนกันยายน 2567 โจ้ มหาเฮง ทำสัญญาซื้อสลากฯกันไว้กับคุณนายผู้ว่าฯ เป็นยอดเงินรวม 16,200,000 บาท ตามข้อตกลงนั้นจะต้องส่งสลากฯ รวมทั้งสิ้น 2,000 เล่มให้ต่องวด มีการนัดรับสลากฯทุกวันที่ 5 และวันที่ 20 ของเดือน หลังชำระเงินทั้งหมดไปแล้ว งวดแรกนัดส่งมอบกัน ในวันที่ 5 ตุลาคม 2567 แต่ปรากฏว่าไม่มีสลากฯมาส่งตามนัด จากนั้นก็นัดอีกครั้งในวันที่ 20 ตุลาคม 2567 แต่คุณนายผู้ว่าฯ นำสลากฯมาส่งให้จำนวน 600 เล่ม ภายหลังจากวันที่นัด 7 วัน ทำให้สลากกินแบ่งรัฐบาล คงค้างอยู่อีก 1,400 เล่ม และเสี่ยโจ้ มหาเฮง ก็ไม่เคยได้รับสลากฯอีกเลย จนมีการเรียกร้องเงินคืนทั้งหมด จนในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2567 คุณนายผู้ว่าฯ ก็ได้โอนเงินสดคืนบางส่วน และได้โอนคืนมาให้อีกจำนวน 3 ครั้ง ครั้งละ 500,000 บาท เป็นเงิน 1,500,000 บาท ที่ยังค้างกันอยู่กว่า 10 ล้านบาท เสี่ยโจ้ มหาเฮง จึงได้นำปัญหานี้ไปปรึกษา พระอาจารย์ เพื่อหาทางออก ยืนยันต้องการเงินส่วนที่เหลือคืน แต่เนื่องจากการเจราจรหลายๆ ครั้ง มีการบ่ายเบี่ยง จึงตัดสินใจไปแจ้งความดำเนินคดีกับคุณนายผู้ว่าฯ คนนี้ ในข้อหาฉ้อโกงทรัพย์ กับพนักงานสอบสวน สภ.เสลภูมิ ไว้เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2567
สำหรับปัญหานี้รายงานแจ้งว่าพฤติการณ์ในการนำสลากกินแบ่งรัฐบาลออกมาจำหน่ายในจำนวนมากๆ มีข้อสังเกตจากผู้ค้าสลากรายย่อยทั่วไป เพราะการให้สิทธิการจำหน่ายสลากฯจะมีให้เพียงคนละ 1 เล่ม ที่เป้าประสงค์ของกองสลากนั้นต้องการที่จะให้โอกาสผู้จำหน่ายสลากที่มีทั้งกลุ่มผู้พิการ กลุ่มทหารผ่านศึก หรือกลุ่มประชาชนที่ต้องการหารายได้ขึ้นบัญชีที่กองสลากหรือจังหวัดที่มีภูมิลำเนาอยู่ เพื่อนำสลากฯไปจำหน่ายเพื่อหาเงินประทังชีวิต แต่ในกรณีจึงน่าสงสัยว่า สลากฯที่นำมาจำหน่ายนั้น นำออกมาได้ด้วยวิธีการใด ทางกองสลากควรที่จะตรวจสอบปัญหานี้เพื่อความเป็นธรรมโปร่งใสด้วย