เรียกได้ว่าเป็นกระแสที่กลายเป็นไวรัลอย่างมากอยู่ในขณะนี้ หลังเมื่อวันที่ 29 ม.ค. 68 มีผู้ใช้เพจเฟซบุ๊ก “กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช” ได้โพสต์ข้อความแจงปมดราม่าปลูกต้นซากุระในประเทศไทย พร้อมยืนยันไม่มีการนำมาปลูกในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ หรืออุทยานแห่งชาติ โดยรัฐบาลญี่ปุ่น ให้ 1 พันต้น เพื่อขอบคุณและแสดงสัมพันธ์อันดี โดยจะมีการนำมาเริ่มทดลองปลูกเบื้องต้น จำนวน 200 ต้น เพราะการนำต้นซากุระเข้ามาปลูกในประเทศไทย จำเป็นต้องมีการศึกษาพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการปลูก

โดยเพจ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พร้อมระบุข้อความว่า “ชี้แจงกรณีปลูกต้นซากุระในประเทศไทย ยืนยันไม่มีการนำมาปลูกในพื้นที่ป่าอนุรักษ์หรืออุทยานแห่งชาติแน่นอน ตามที่เพจเฟซบุ๊ก “กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช” ได้ประชาสัมพันธ์การต้อนรับคณะ ทำงานลงพื้นที่สำรวจความเหมาะสมปลูกต้นซากุระในเชียงใหม่ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน และทำให้ประชาชนเกิดความกังวลเกี่ยวกับกรณีการนำเข้าต้นซากุระมาปลูกในประทศไทย”

จากประเด็นดังกล่าว “กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช” ขอชี้แจงความเป็นมาของการดำเนินงานและข้อเท็จจริง​ ดังนี้
1.จังหวัดฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น ขอให้รัฐบาลไทยเปิดสถานกงสุลใหญ่เพิ่มเติม ณ เมืองฟุกุโอกะ เนื่องจากมีการติดต่อค้าขายกับประเทศไทยเป็นจำนวนมากและให้เกิดความสะดวกต่อการค้า แต่ยังไม่มีสถานกงสุล ณ บริเวณดังกล่าว ทางรัฐบาลไทยจึงได้จัดตั้งสถานกงสุลขึ้นที่จังหวัดฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น ทางจังหวัดฟุกุโอกะโดยรัฐบาลญี่ปุ่น จึงมีความประสงค์มอบต้นซากุระ ซึ่งเป็นต้นไม้ประจำชาติที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่น จำนวน 1,000 ต้น

อีกทั้ง เพื่อนำมาปลูกเป็นแหล่งศึกษาธรรมชาติในพื้นที่สูงที่มีอากาศเย็นและมีความเหมาะสม เป็นการขอบคุณให้แก่รัฐบาลไทย และแสดงถึงความสัมพันธไมตรีอันดีระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น โดยจะมีการนำมาเริ่มทดลองปลูกเบื้องต้น จำนวน 200 ต้น เพราะการนำต้นซากุระเข้ามาปลูกในประเทศไทย จำเป็นต้องมีการศึกษาพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการปลูก

เนื่องจาก ซากุระเป็นพืชที่ต้องปลูกในพื้นที่ที่มีสภาพอากาศหนาวเย็น ในพื้นที่ละติจูดที่สูง และมีความสูงจากระดับทะเลปานกลางมากกว่า 1,000 เมตร รวมถึงมีอุณหภูมิที่ค่อนข้างต่ำหรือมีอากาศหนาวเย็นติดต่อกันอย่างน้อย 2 เดือน และเป็นพืชที่ต้องการแสง ไม่สามารถเจริญเติบโตได้ในพื้นที่ร่มหรือภายใต้เรือนยอดไม้อื่น ดังนั้น การปลูกต้นซากุระจึงควรปลูกในพื้นที่เปิดโล่ง ทั้งนี้ เพื่อให้การศึกษาการปลูกต้นซากุระเป็นไปด้วยความเหมาะสม จึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานศึกษาและขับเคลื่อนการปลูกต้นซากุระเพื่อเป็นแหล่งศึกษาธรรมชาติขึ้น

2. ในการประชุมของคณะทำงานฯ ครั้งที่ 1/2567 เมื่อวันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม 2567 เวลา 13.30-16.30 น. ผู้แทนกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ชี้แจงในที่ประชุม ว่าไม่สมควรนำต้นซากุระไปทดลองปลูกในพื้นที่อนุรักษ์ เนื่องจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้กำหนดนโยบายการจัดการอุทยานแห่งชาติตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ให้มีการควบคุมและจัดการพืชต่างถิ่น (Exotic species) ไม่ให้เกิดการะบาดหรือแพร่กระจายเข้าไปในระบบนิเวศธรรรมชาติ และเพื่อให้การศึกษาการปลูกต้นซากุระเป็นไปด้วยความเหมาะสม

นอกจากนี้ จึงมีการกำหนดพื้นที่ในการดำเนินการปลูกไม่ให้อยู่ในพื้นที่อนุรักษ์ โดยเลือกบริเวณพื้นที่ ดังนี้
1. ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง)
2. ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (แม่จอนหลวง)
3. สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ จังหวัดเชียงใหม่ (เป็นพื้นที่ในการอนุบาลกล้าซากุระและพื้นที่ปลูก)
4. พื้นที่ในบริเวณชุมชนหมู่บ้านม้งดอยปุย ซึ่งไม่ได้เป็นเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาหารือความเหมาะสมสำหรับการปลูก
5. โครงการอนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารีอินทนนท์ ตามพระราชดำริ ในพื้นที่ภาคเหนือ (ดอยอินทนนท์) จังหวัดเชียงใหม่ (เป็นพื้นที่ในการอนุบาลกล้าซากุระเท่านั้น) เนื่องจากต้นซากุระจะถูกนำส่งมาด้วยวิธีการเปลือยราก จึงจำเป็นต้องพักฟื้นและอนุบาลกล้าเป็นระยะเวลา 6 เดือน

อย่างไรก็ตาม กรมอุทยานฯ ขออภัยหากการสื่อสารที่ผ่านมา ก่อให้เกิดความกังวลใจแก่ประชาชน​ และยืนยันว่าจะดำเนินโครงการด้วยความรอบคอบ โปร่งใส และคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ

ขอบคุณข้อมูล : กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช