เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 68 เวลา 16.30 น. ที่ วัดโพนทอง ต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานน้ำหลวงสรงศพ พร้อมด้วยเครื่องเกียรติยศประกอบศพ (หีบทองทึบ) “พระราชมงคลวัชรินทร์” หรือ “หลวงปู่มี ฐิตสาโร” อดีตเจ้าอาวาสกิตติมศักดิ์วัดโพนทอง ที่ได้มรณภาพลงด้วยอาการสงบ เมื่อเวลา 02.30 น.ของคืนวันที่ 5 ม.ค.ที่ผ่านมา หลังจากเข้ารับการรักษาอาการอาพาธที่โรงพยาบาลกาบเชิง อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ด้วยอาการป่วยหอบเหนื่อย หมดแรง อ่อนเพลีย และโรคความดัน รวมทั้งปัสสาวะไม่ออก โดยหลวงปู่รักษาอาการอาพาธมาร่วม 3 อาทิตย์แล้ว ก่อนจะมรณภาพอย่างสงบ สิริอายุ 113 ปี 37 พรรษา
โดยมี นายประภาส ศรีจันทร์เวียง รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ เป็นผู้แทนผู้ว่าฯ สุรินทร์ เป็นประธานในพิธีพระราชทานน้ำหลวงสรงศพฯ จากนั้น พระราชสุตาลังการ ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 11 เจ้าอาวาสวัดพรหมสุรินทร์ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ในพิธี สรงน้ำหลวงสรงศพ สรีระสังขาร พระราชมงคลวัชรินทร์ หรือ “หลวงปู่มี ฐิตสาโร” ก่อนจะมีพิธีบำเพ็ญกุศลสรีระสังขารตามลำดับต่อไป
พร้อมกันนี้ หลวงปู่เฮง ปภาโส เจ้าอาวาสวัดบ้านด่าน, เจ้าคณะอำเภอกาบเชิง, พระเถระชั้นผู้ใหญ่ และพระสงฆ์ รวมทั้ง นายวรวิทย์ ทองไทยนันท์ ผอ.สำนักพระพุทธศาสนา จ.สุรินทร์, นายสุทธิโรจน์ เจริญธนะศักดิ์ นาย อ.กาบเชิง, นายจำนงค์ สมรูป ปลัดอำเภอกาบเชิง, พ.ต.อ.คำพล โนนุช ผกก.สภ.กาบเชิง, นางปทิดา ตันติรัตนานนท์ ส.ส.สุรินทร์ เขต 8 พรรคภูมิใจไทย, นายศิริชัย ตันติรัตนานนท์ นายก อบต.ด่าน และนายศิริวุฒิ วงษ์เจริญ กำนัน ต.ด่าน,ผู้นำชุมชน, เจ้าหน้าที่ส่วนราชการต่างๆ คณะศิษยาณุศิษย์ และพุทธศาสนิกชน เข้าร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ จะมีพิธีพระราชทานเพลิงศพสรีระสังขาร หลวงปู่มี ฐิตสาโร ในวันที่ 12 ม.ค. 68 นี้
สำหรับ พระราชมงคลวัชรินทร์ หรือ “หลวงปู่มี ฐิตสาโร” อดีตเจ้าอาวาสกิตติมศักดิ์วัดโพนทอง เป็นพระสงฆ์ที่มีอายุมากที่สุดในภาคอีสาน แม้จะไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่ชาวบ้านในพื้นที่รู้จักดี ในเรื่องพระสงฆ์ที่มีวัตรปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ไม่เคยเสื่อมเสีย วัตถุมงคลของหลวงปู่มี มีพุทธคุณในด้านเมตตามหานิยมและแคล้วคลาดปลอดภัย ซึ่งชาวบ้านในพื้นที่ทราบดี
ประวัติ หลวงปู่มี เกิดวันที่ 1 เม.ย. 2455 ที่หมู่บ้านโพนทอง ต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ เมื่อจบการศึกษาป.4 ได้บวชสามเณรแล้วศึกษานักธรรมตรีจนจบ ต่อจากนั้นก็เดินธุดงค์ไปตามชายแดนในสถานที่ต่างๆ เพื่อเรียนวิชากับครูบาอาจารย์ใน จ.สุรินทร์ หลายรูป พอถึงวัยหนุ่มท่านก็ลาสิกขาออกมาเป็นบรรพชิต อยู่ที่บ้านเกิดหลายสิบปี จากนั้นได้เข้าพิธีอุปสมบทอีกครั้งเมื่อปี 2531 ขณะอายุ 76 ปี โดยมี พระอุปัชฌาย์ คือ พระครูภัทรญาณคุณ (หลวงพ่อประเสริฐ) วัดดาราธิวาส อ.สังขะ จ.สุรินทร์ พระอธิการสุรินทร์ ปัญญาโร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระสุพจน์ เตชพโล เป็นพระอนุสาวนาจารย์
ส่วนลำดับศักดิ์ หลวงปู่มี ฐิตสาโร เจ้าอาวาสวัดโพนทองฯ พึ่งได้รับโปรดเกล้าจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯที่ทรงมีพระราชโองการโปลดเกล้าพระราชทานตั้งสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ ชั้นราช ในราชทินนาม “พระราชมงคลวัชรินทร์ สุจิณธรรมวิจิตร มหาคนิสสร บวรสังฆา รามคามวาสี” เมื่อปีที่แล้ว ในช่วงที่ท่านอายุได้ 111 ปี อีกด้วย.