จากกรณีข่าวประเด็นที่มีมิจฉาชีพหลอกเงินนางงามคนดังอย่าง “ชาล็อต ออสติน” ให้โอนเงิน 4 ล้านบาท ซึ่งเจ้าตัวก็ได้ออกมาแถลงข่าวพร้อมกับ “ณวัฒน์ อิสรไกรศีล” ประธานบริษัท มิสแกรนด์อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) พร้อมยอมรับว่าตนเองเป็นแพนิคทำให้ตกเป็นเหยื่อ ต่อมาทางกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ก็ได้ตัวผู้กระทำความผิดและได้ประสานบริษัทรับแลกเงิน พร้อมอายัดบัญชีคนรับแลกคริปโตไว้ ราว 8 แสนบาท พบเชื่อมโยงกับเคสอื่นกว่า 100 คดี

ซึ่งหลังจากที่นำเสนอข่าวออกไป งานนี้กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่าทำไมเคสของดาราหรือคนดังถึงมีความคืบหน้าเร็ว แถมยังได้รับเงินคืน โดยต่างกับประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อกลับต้องดิ้นรนหาหลักฐานเอง ซ้ำบางเคสคดีความกลับไม่มีความคืบหน้าเลยตามที่ได้เสนอข่าวไปก่อนหน้านี้

ล่าสุดเมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่ามีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งได้ออกมาโพสต์ตั้งข้อสงสัย เกี่ยวกับประเด็นการโดนมิจฉาชีพหลอกเงิน ซึ่งมองว่าตำรวจไม่มีความยุติธรรมและเลือกปฏิบัติ

โดยระบุว่า คดีถูกหลอกโอนเงินของนางงาม ทำให้คนเราเห็นถึงการทำงานแบบ 2 มาตรฐานของตำรวจได้เป็นอย่างดี การตามจับบุคคลต่าง ๆ ทั้งบัญชีม้า ทั้งคนจัดหาบัญชีม้า ทำให้รับรู้เป็นอย่างดีได้ว่าตำรวจทำงานแบบสองมาตรฐานขนาดไหน จับได้แต่บัญชีม้าแต่ไม่เคยได้ตัวการใหญ่ หรือคนที่หลอกเลย

ถ้าหากเป็นคนมีชื่อเสียง เป็นดารา เป็นคนดัง ตำรวจจะเร่งรัดคดีให้เต็มที่ บุคคลเหล่านั้นแทบไม่ต้องดิ้นรนอะไรเลย มีนายตำรวจระดับสูง ออกมาเร่งรัดคดี ออกมาทำคดีให้เต็มที่ แต่ถ้าหากเป็นชาวบ้านปกติธรรมดา มีสิทธิ์เจอได้แค่พนักงานสอบสวน ไปแจ้งความก็ได้รับคำพูดที่ไม่ค่อยจะดี บางทีถูกด่ากลับด้วยซ้ำว่าโง่เองบ้าง ข่าวออกตั้งเยอะตั้งแยะทำไมยังตกเป็นเหยื่อ

ทุกครั้งชาวบ้านปกติต้องเดินหน้าหาหลักฐานเอง ปริ้นสลิปโอนเงิน ปริ้นสเตทเม้นท์ หาหลักฐานทุกอย่างไปให้ครบ ผ่านไปคดีก็ไม่มีความคืบหน้าอะไร แค่ออกหมายจับบัญชีม้ายังทำไม่ได้เลย ผิดกับดารา คนดัง คนมีชื่อเสียง แบบหน้ามือเป็นหลังมือ แทบไม่ต้องทำอะไรเลย ผ่านไปไม่ถึง 3 วัน จับบัญชีมาได้ นายตำรวจระดับสูงมาแถลงข่าว มิหนำซ้ำคดียังไม่ถึงที่สุดจะได้เงินคืนอีก

มันไม่ใช่ความน่าภูมิใจ ที่มานั่งโชว์มานั่งแถลงข่าว แต่ยิ่งทำมันยิ่งแสดงให้เห็นถึงความสองมาตรฐานในการทำงานของตำรวจ แล้วแบบนี้ชาวบ้านชาวช่อง จะไปมีความหวังกับกระบวนการยุติธรรมได้ยังไง…