ความคืบหน้าเดลินิวส์ ตามเกาะติดคดี นายทุนใหญ่บุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าแควระบมและป่าสียัด อ.ท่าตะเกียบ จ.ฉะเชิงเทรา ปรับไถพื้นที่ตามแนวเชิงเขาจนกลายเป็นสวนทุเรียนแปลงใหญ่อย่างเป็นระบบมาตรฐาน เมื่อวันที่ 3 มี.ค.68 ที่ ห้องประชุม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดฉะเชิงเทรา นายณัฐวุฒิ เปลื้องทุกข์ ผช.ผอ.สคทช. พร้อมด้วย พล.ต.ต.วัชรินทร์ พูสิทธิ์ ผบก.ปทส. และหน่วยงานเกี่ยวข้อง เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ ประชุมหารือการจัดที่ดินทำกินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าแควระบมและป่าสียัด โดยมีประเด็นซักถาม กรณีชาวบ้านที่ได้รับจัดสรรที่ดิน คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) แล้วนำที่ดิน คทช.ไปขายให้ “กลุ่มทุนรายใหญ่” หรือไม่ ถือว่าผิดวัตถุประสงค์การจัดสรรที่ดินให้ผู้มีรายได้น้อยไว้ทำกิน

เบื้องต้นตรวจพบว่ามีการเปลี่ยนมือจากชาวบ้าน ไปให้ “บริษัทแรก” เข้ามาในพื้นที่ทำเม็ดมะม่วงหิมพานต์ จากนั้นมีการเปลี่ยนมือมาเป็น “บริษัทสอง” เมื่อประมาณปี 2566 ซึ่งในประเด็นนี้ นายพันธ์ศักดิ์ ธรรมรัตน์ นักวิชาการป่าไม้ชำนาญการพิเศษ ทำหน้าที่ผอ.ส่วนทรัพยากรธรรมชาติ ทสจ.ฉะเชิงเทรา กล่าวว่า ในส่วนนี้ยังไม่มีชาวบ้านมาแสดงตนยืนยันสิทธิ ซึ่งจะต้องแจ้งความเอาผิดเพื่อให้เป็นกรณีตัวอย่างไม่ให้มีการขายสิทธิที่ดินทำกินอีกต่อไป

จากนั้นนายณัฐวุฒิ ผช.ผอ.สคทช. พร้อมด้วย พล.ต.ต.วัชรินทร์ ผบก.ปทส. ได้เดินทางลงไปในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าแควระบมและป่าสียัด ต.ท่าตะเกียบ อ.ท่าตะเกียบ เพื่อตรวจพื้นที่และดูในเรื่องของน้ำบาดาลที่เจาะโดยไม่ได้ขออนุญาต นอกจากนี้ยังพบว่าพื้นที่ปลูกทุเรียน “แปลงที่ 1” พบการปลูกทุเรียนเนื้อที่ 227 ไร่ 2 งาน 35 ตารางวา เป็นเนื้อที่ คทช. ปี พ.ศ. 2559 ที่ได้รับอนุญาตแล้ว 130 ไร่ 1 งาน และพื้นที่ คทช. ปี พ.ศ. 2564 ที่ไม่ได้รับอนุญาต 35 ไร่ 3 งาน 1 ตารางวา พบบัญชีรายชื่อชาวบ้านที่ถือสิทธิจำนวน 11 รายเป็นชาวบ้านในพื้นที่จังหวัดตราด 2 ราย ฉะเชิงเทรา 8 ราย ในแปลง คทช. ที่เป็นพื้นที่ปลูกทุเรียนของบริษัทแห่งหนึ่ง ส่วนพื้นที่ “แปลงที่ 2” พบการปลูกทุเรียนเนื้อที่ 116 ไร่ 2 งาน 40 ตารางวา เป็นเนื้อที่ คทช. ปี พ.ศ. 2559 ที่ได้รับอนุญาตแล้ว 8 ไร่ 1 งาน 9 ตารางวา และพื้นที่ คทช. ปี พ.ศ. 2564 ที่ไม่ได้รับอนุญาต 72 ไร่ 2 งาน 2 ตารางวา พบบัญชีรายชื่อชาวบ้านที่ถือสิทธิจำนวน 9 รายเป็นชาวบ้านในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา 4 ราย จันทบุรี 2 ราย บุรีรัมย์ 1 ราย นครราชสีมา 1 ราย

สำหรับที่ดินทั้ง 2 แปลง คือแปลง คทช. ที่ได้รับอนุญาต รวมเนื้อที่ 138 ไร่ 2 งาน 90 ตารางวา รอดำเนินการจัดสรรและรอให้ชาวบ้านมาแสดงสิทธิ ส่วนแปลง คทช.ยังไม่ได้รับอนุญาต รวม 108 ไร่ 1 งาน 3 ตารางวา และไม่เป็นแปลง คทช. รวม 97 ไร่ 82 ตารางวา ได้มีการแจ้งความดำเนินคดีเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 เนื้อที่ 164 ไร่ 2 งาน 64 ตารางวา รอดำเนินการเนื้อที่ 40 ไร่ 3 งาน 21 ตารางวา หลังจากลงพื้นที่ตรวจเสร็จเรียบร้อยแล้ว นายณัฐวุฒิ ผช.ผอ.สคทช. พร้อมด้วยนายชัยนันท์ อิ่มเจริญ เจ้าพนักงานป่าไม้ชำนาญงาน หัวหน้าหน่วยป้องกันและพัฒนาป่าไม้ท่าตะเกียบ เข้าแจ้งความที่ สภ.ท่าตะเกียบ เพื่อดำเนินคดี “กลุ่มนายทุน” ในแปลงที่ยังไม่ได้ดำเนินการ เพื่อนำเรื่องเข้าที่ประชุม คทช.จังหวัดในวันที่ 21 มี.ค. 2568 ดำเนินการในขั้นตอนต่อไป

ด้าน พล.ต.ต.วัชรินทร์ ผบก.ปทส. เปิดเผยว่า ถ้ามีการร้องทุกข์กล่าวโทษในพื้นที่ ถ้าในพื้นที่ดูแลได้ก็ให้พื้นที่ดูแล ถ้าหนักก็จะรับไปทำเอง หรือถ้ามากกว่า 50 ไร่ ทาง ปทส. จะต้องร่วมกับดีเอสไอ จากนี้ กรมป่าไม้ ต้องแจ้งความดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้อง ทั้งบริษัทที่ครอบครองที่เก่าและใหม่ เพราะการดำเนินการกระทำในรูปแบบบริษัท ซื้อมา หรือโอนให้ใคร จะตรวจสอบได้ ซึ่งเรื่องนี้ผิดวัตถุประสงค์แน่นอน เมื่อการแจ้งความเสร็จแล้วต้องสรุปสำนวนส่งฟ้องทางอาญา จากนั้นสามารถนำ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ม.3(15) ทำลายทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการค้า มาใช้ควบคู่กับการเอาผิดได้ โทษนี้ถึงขั้นยึดทรัพย์

ส่วนกรณีที่พบว่า เป็นที่ คทช. และตกไปอยู่ในมือกลุ่มทุน และชาวบ้านที่ได้รับสิทธิอ้างว่า ไม่เคยไปขอรับสิทธิ ไม่เคยไปพื้นที่ อ.ท่าตะเกียบ นั้นสามารถตรวจสอบรายชื่อการขอรับสิทธิได้ และหากเป็นจริงอย่างที่ชาวบ้านแจ้ง ต้องตรวจสอบกระบวนการตรวจสอบสิทธิว่า เกิดอะไรขึ้น หากพบว่าเกี่ยวข้องกับ “การสวมสิทธิชาวบ้าน” จริงก็สามารถดำเนินคดีอาญา และใช้ พ.ร.บ.ปปง. กับผู้เกี่ยวข้องที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐได้เช่นกัน