เมื่อวันที่ 4 มี.ค. 68 นายแพทย์เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา คุณหมออารมณ์ดีเจ้าของเพจ “หมอเจด” ออกมาให้ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพ โดยระบุว่า “เป็นไขมันพอกตับ แถมฟรี 3 โรคร้าย เชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยอ่านโพสต์ที่ผมเคยเขียนไว้เกี่ยวกับ “ไขมันพอกตับ” อาจจะคิดว่ามันฟังดูเหมือนเรื่องไกลตัว หรือดูไม่น่ากลัว เพราะมันไม่ค่อยมีอาการอะไรที่ชัดๆ ซึ่งตอนที่ผมหนัก 110 กิโล ก็ไม่ได้มีอาการอะไรนะ มีแค่เรื่องอ้วนเฉยๆ ความน่ากลัวคือถ้าปล่อยไว้ บอกเลยโรคร้ายตามมาแน่”

วันนี้มาเล่าให้ฟังว่าไขมันพอกตับคืออะไร ทำไมมันน่ากลัว และเราจะป้องกันมันยังไงได้บ้าง?
1. ไขมันพอกตับคืออะไร ทำไมต้องระวัง
ไขมันพอกตับ (NAFLD) คือภาวะที่มี ไขมันเกาะอยู่ในตับเกิน 5-10% โดยไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์อย่างเดียว ส่วนใหญ่เกิดจาก กินแป้ง น้ำตาลเยอะเกินไป ขยับร่างกายน้อยเกินไป น้ำหนักเกิน หรือเป็นเบาหวาน ก็ทำให้เป็นได้ ซึ่งปกติแล้ว ตับเป็นอวัยวะที่ทำงานหนักมาก ทั้งช่วยย่อยอาหาร กำจัดสารพิษ และควบคุมพลังงานในร่างกาย แต่พอไขมันไปเกาะตับเยอะเข้า ตับก็เริ่มมีปัญหา อักเสบ ตับแข็ง ไขมันพอกตับไม่ได้มาเดี่ยวๆ มันมักลากเพื่อนมาด้วยนะ มีอะไรบ้างเดี๋ยวเล่าในข้อ

2. เบาหวาน
รู้ไหมว่าคนที่เป็นไขมันพอกตับ มีโอกาสเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 สูงกว่าคนปกติ 2-5 เท่า เพราะไขมันที่สะสมในตับทำให้ร่างกาย “ดื้อต่ออินซูลิน” ซึ่งเป็นตัวควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด พอดื้อต่ออินซูลิน น้ำตาลในเลือดก็สูงขึ้น เบาหวานก็ถามหา

โดยสิ่งที่ตามมามีดังต่อไปนี้
1. น้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรัง
2. เสี่ยงต่อ ไตวาย ประสาทเสื่อม แผลเบาหวาน ตาบอด
3. ถ้าเป็นเบาหวานแล้วไม่ดูแล ไขมันพอกตับก็จะแย่ลงไปอีก วนเป็นลูป

3. โรคหลอดเลือด
หลายคนอาจคิดว่า ไขมันพอกตับกระทบแค่ตับ แต่ความจริงแล้วมัน เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด เพราะว่า ไขมันที่พอกอยู่ในตับ มันไปกระตุ้นให้คอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น ไขมันดี (HDL) ลดลง ไขมันเลว (LDL) เพิ่มขึ้น สุดท้ายก็เกิด หลอดเลือดอุดตัน เสี่ยงเป็นโรคหัวใจและอัมพาต

นอกจากนี้ ทำให้เกิดความเสี่ยงหลายๆอย่าง ซึ่งมีดังต่อไปนี้
1. หลอดเลือดตีบ เท่ากับ เสี่ยงหัวใจวายเฉียบพลัน
2. หลอดเลือดในสมองอุดตัน เท่ากับ เสี่ยงอัมพาตครึ่งซีก
3. ความดันโลหิตสูง เท่ากับ เพิ่มโอกาสเกิดโรคไตและหลอดเลือดสมองแตก

4. มะเร็งตับ
ไขมันพอกตับ ไม่ได้จบแค่การอักเสบ ถ้าปล่อยไว้อาจจะเป็นตับแข็ง และสุดท้ายคือมะเร็งตับ คนที่มีไขมันพอกตับ มีโอกาสเป็นมะเร็งตับสูงขึ้นหลายเท่า โดยเฉพาะถ้าตับเริ่มเป็นพังผืดแล้ว ความเสี่ยงยิ่งเสี่ยงขึ้นไปอีก

อีกทั้ง ทำไมไขมันพอกตับถึงทำให้เกิดมะเร็งตับ
1. ตับอักเสบเรื้อรัง เท่ากับ เซลล์ตับถูกทำลายซ้ำๆ
2. เกิดพังผืดในตับ (Fibrosis) เท่ากับ ถ้าเป็นหนักจนกลายเป็นตับแข็ง โอกาสเป็นมะเร็งตับพุ่งสูง ที่น่ากลัว คือ มะเร็งตับมักไม่มีอาการในระยะแรก กว่าจะรู้ตัวก็อาจอยู่ในระยะที่รักษายากแล้ว เพราะฉะนั้นป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ

5. ป้องกันไขมันพอกตับ ไขมันพอกตับสามารถรักษา และป้องกันได้ด้วยการปรับพฤติกรรม 3 อย่างหลักๆ จะมีดังต่อไปนี้
1. ลดการเอาเข้า หยุดเติมไขมันให้ตับ
– คุมอาหาร ลดน้ำตาล ขนมหวาน แป้งขัดขาว เปลี่ยนเป็นข้าวกล้อง กินโปรตีนดีๆ อย่างปลา ไข่ ถั่ว
– ลดน้ำหนัก แค่ลด 5-10% ของน้ำหนักตัว ตับก็ดีขึ้นแล้ว ผมเคยหนัก 110 กิโลกรัม ลดเหลือ 80 ตอนนี้ตับกลับมาปกติแล้ว
– ลดภาวะดื้ออินซูลิน คุมอาหาร+ออกกำลังกายช่วยลดเบาหวาน แถมช่วยให้ตับฟื้นตัวไวขึ้น

2. เพิ่มการเอาออก เผาผลาญไขมันสะสม
– ออกกำลังกาย คาร์ดิโอ 150 นาที/สัปดาห์ (เดินเร็ว วิ่ง ปั่นจักรยาน) + เวทเทรนนิ่งช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อ
– กินไขมันดี อะโวคาโด น้ำมันมะกอก ถั่ว ลดไขมันเลวในตับ
– อาหารเสริมช่วยได้ โคลีน (ขับไขมันออกจากตับ), โอเมก้า-3 (ลดการอักเสบ), วิตามินอี (ต้านอนุมูลอิสระ) แต่ต้องปรึกษาหมอก่อน

3. ลดการอักเสบของตับ ป้องกันตับเสียหาย
– เลิกของทอด ของมัน ไขมันทรานส์ อาหารจานด่วนพวกนี้ทำร้ายตับโดยตรง
– ดื่มน้ำเยอะๆ ช่วยขับของเสียตับ จะได้ไม่ต้องทำงานหนัก
– อาหารเสริมก็เป็นอีกตัวช่วยลดการอักเสบนะแอสตาแซนธิน กับซิลิมาริน เป็นตัวช่วยป้องกันตับอักเสบ

อย่างไรก็ตาม “ไขมันพอกตับเป็นเรื่องใหญ่กว่าที่คิดนะ เพราะมันเพิ่มโอกาสเป็น เบาหวาน โรคหัวใจ และมะเร็งตับ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันป้องกันไม่ได้นะ ทำตามวิธีที่ผมบอกไปข้างบนได้เลย อย่ารอให้ตับส่งสัญญาณเตือน เพราะอาจจะสายไปนะ” หมอเจดกล่าว

ขอบคุณข้อมูล : หมอเจด