เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. รายการโหนกระแสวันนี้ พูดคุยกรณี รองเท้ามือสองของ “ป้าละออง” แม่ค้าขายของมือสองที่เดือดร้อนอย่างหนัก หลังกู้เงินนอกระบบมาลงทุนซื้อรองเท้ามือสองมาเตรียมเอาไปขาย แต่เอาของไปวางไว้ในที่หลวง ก่อนจะมีชาวบ้านแห่ไปเลือกรองเท้าผ้าใบมือสองนับหมื่นคู่ ถูกนำมากองทิ้งไว้สวนสาธารณะทุ่งหนองนามน บ้านหัวขัว ต.เมืองเพีย อ.กุดจับ จ.อุดรธานี เวลาประมาณ 08.00 น. วันที่ 19 ธันวาคม 2567

โดยสิ่งที่เป็นประเด็นก็คือ มีคนหนึ่งคนในพื้นที่ ที่ไปโพสต์ภาพกองรองเท้าลงโซเชียล ระบุข้อความว่า “ไผบ่มีเกิบมาเอาเด้อครับ555 สงสัยเจ้าของใส่แล้วเลยเบื่อ” พิกัดทุ่งนามนบ้านหัวขัว ชาวบ้านต่างพากันขอบคุณเจ้าของรองเท้าที่นำมาทิ้ง จึงพากันเก็บใส่ถุงปุ๋ยขึ้นรถกลับบ้านไปให้ญาติพี่น้องได้สวมใส่ไปทำนา ตัดอ้อย และสวมใส่ในชีวิตประจำวัน

ป้าละออง อายุ 58 ปี เจ้าของรองเท้าผ้าใบมือสอง ยืนยันว่าไม่ได้นำรองเท้ามาทิ้ง แต่เป็นการขนมากองไว้ เพื่อรอขนไปขายที่ อ.วังสะพุง จ.เลย นำรองเท้าขนใส่รถบรรทุก 6 ล้อช่วงยาวมาวางไว้ตรงนี้ ในช่วงค่ำวันที่ 13 ธันวาคม ที่ผ่านมา เพราะไม่มีที่วางสินค้า และรีบกลับไปขายของอยู่ที่หน้าโรงหนังวิสต้า ที่อยู่ติดกับสนามทุ่งศรีเมือง ตรงที่ตนมาเช่าพื้นที่ขายรองเท้าผ้าใบ เสื้อผ้า และเสื้อกันหนาวมือสอง ที่ตนนำมาขายรวม 9 ปีแล้ว และจะกลับมาขนเอาไปขายที่ อ.วังสะพุง จ.เลย ในวันที่ 20 ธ.ค. ต่อจากงานประจำปีทุ่งศรีเมืองอุดรธานี

ซึ่งในวันที่ขนรองเท้ามาวางที่นี่ เนื่องจากมืดค่ำแล้ว  ถ้าไม่มีคนโพสต์ในโซเชียลว่า แจกรองเท้าฟรี สินค้าของตนก็คงไม่หายไปเยอะขนาดนี้ โดยมีทั้งหมด 350 กระสอบปุ๋ย กระสอบละ 35 คู่ รวมมูลค่าพร้อมค่าขนส่ง 80,000 บาท สินค้าดังกล่าวตนไปรับซื้อมาจากท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี ตนก็ไม่เคยเอาสินค้ามาวางไว้แบบนี้ในพื้นที่ จ.อุดรธานี แบบนี้ เพราะเชื่อว่าคนอีสานไม่มีนิสัยลักเล็กขโมยน้อย เพราะเคยวางไว้ที่อื่นในภาคอีสานก็ไม่หาย และนำผ้ามาคลุมของไว้เป็นอย่างดี แต่ไม่ได้เขียนป้ายติดไว้ว่ามีเจ้าของ เพราะไว้ใจคนทางอีสานที่ไม่มีนิสัยขี้ขโมย

พร้อมบอกด้วยว่า คนอีสานไม่เอาของใครที่ไม่ใช่ของตัวเอง แต่ที่ของหายเพราะมีการโพสต์ภาพลงไปในโลกโซเชียล  เลยทำให้คนรู้ และมาขนเอาไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งตรวจสอบดูแล้วตอนนี้ น่าจะเหลืออยู่ประมาณ 200-300 คู่ ติดใจกับคนที่มาถ่ายรูปแล้วโพสต์ว่าแจกฟรี เหตุผลที่ไม่เอาไปวางไว้หรือฝากไว้ตามสถานที่เอกชน และราชการเพราะว่ามันเยอะ และจะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม แต่ก็ไม่ได้เอามาทิ้ง เพราะถ้าทิ้งก็คงเอาไปทิ้งที่บ่อขยะ 

ป้าละอองบอกอีกว่า ขายของมา 35 ปี ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ ครั้งนี้เป็นครั้งแรก รู้สึกตกใจมาก รองเท้าทั้งหมด 1 หมื่นกว่าคู่ ไปกู้เงินมาซื้อมาขาย ถ้าแจกฟรีก็จะไม่แจกที่นี่ แต่จะไปแจกที่หน้าโรงหนังวิสต้า ตรงที่ตนเองขาย ซึ่งส่วนที่เหลือรองเท้าก็ไม่มีคู่ ก็คงจะต้องให้เทศบาลตำบลกุดจับนำเอาไปทิ้ง

ต่อมานางละออง ได้เข้าไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อ พ.ต.อ.อัมรินทร์ อยู่เย็น ผกก.สภ.กุดจับ ให้ดำเนินคดีต่อคนโพสต์ ที่เป็นต้นเหตุทำให้สินค้าของตนถูกชาวบ้านมาเอาไปจนเกือบหมด โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที ก่อนจะลงบันทึกไว้เป็นหลักฐาน และจะได้เชิญตัวผู้โพสต์มาสอบสวน ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป

ด้าน พ.ต.อ.อัมรินทร์ อยู่เย็น ผกก.สภ.กุดจับ เปิดเผยว่า ผู้เสียหายมาแจ้งความไว้เป็นหลักฐานแล้ว อยากจะดำเนินคดีกับคนที่โพสต์ เพราะเชื่อว่าการโพสต์แบบนี้ ทำให้ชาวบ้านหลงเชื่อ และแห่กันมาเอาสินค้าของผู้เสียหายไป แต่ถ้าไม่โพสต์รองเท้าก็คงจะหายไปนิดเดียว ซึ่งทำให้เจ้าของสินค้านั้นเสียหาย

ขณะที่เจ้าหน้าที่เทศบาล ที่มาในที่เกิดเหตุ ได้บอกกับป้าว่า ป้าเองก็ทำผิดที่เอาของมาวางในที่หลวงโดยพลการ ไม่ได้มีการขออนุญาตทางเจ้าหน้าที่เลย ถ้ามาขออนุญาต มาบอกเจ้าหน้าที่ ก็จะมีคนประทับตรามาดูแลให้ แต่เอาของมาวางในที่ที่ไม่ใช่ของตัวเองแบบนี้ มันทำไม่ได้ ความผิดตรงนี้ป้าเองก็ต้องยอมรับ

ขณะที่ทนายแก้ว แยกแยะประเด็นออกเป็นส่วนๆ ว่า ในส่วนที่ป้าเอาของไปวางในที่หลวง ก็มีความผิดจริง อาจจะถูกปรับ ตามความผิด พ.ร.บ.ความสะอาด อันนี้เป็นส่วนหนึ่งแต่คนที่ไปเปิดผ้าใบ รื้อรองเท้าของป้าออกมาคนแรก คนนั้นมีความผิดฐานลักทรัพย์แน่นอน ส่วนชาวบ้านที่เอาของไป ก็อาจจะมีความผิดฐานยักยอก แต่ถ้าไม่ได้มีเจตนา เอาไปเพราะไม่รู้ หรือเอาไปเพราะเข้าใจผิด ก็ขอให้เอาของมาคืนป้า ส่วนกรณีของจรูญ ที่เป็นคนไปโพสต์ก็ถือว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์แน่นอน

ขณะที่จรูญ ชายหนุ่มที่นำภาพกองรองเท้าของป้าละอองไปโพสต์ โฟนอินเข้ามาชี้แจงว่า มีคนทักมาหาตน ว่ามีคนเอารองเท้ามาเทเหมือนแจก บอกให้ตนไปดู ตนกำลังจะไปส่งลูกไปโรงเรียน ก็เลยไปแวะดูสักครู่หนึ่ง แล้วถ่ายรูปมาโพสต์ขำๆ ว่า ใครไม่มีรองเท้ามาเอา สงสัยเจ้าของเขาจะใส่เบื่อแล้ว ซึ่งตอนที่ตนไปถึงกองรองเท้า ของมันกระจัดกระจายไปทั่วแล้ว มีคนมารื้อจนมันหายไปเกือบหมดแล้ว ดังนั้นที่จะบอกว่า คนมารื้อเพราะตนเป็นคนโพสต์ก็คงไม่ใช่ เพราะมันมีคนมารื้อเอาของไปก่อนหน้าที่ตนจะโพสต์ไปแล้วแต่เรื่องที่ว่า ตนจะผิดหรือไม่ผิด ตำรวจได้สอบปากคำตนไปแล้ว แล้วถ้าบอกว่าตนผิด ตนก็จะขอไกล่เกลี่ยกับป้าว่าจะต้องรับผิดชอบอย่างไร

อย่างไรก็ตาม ทนายแก้วชี้ว่า ถ้าจรูญจะสู้ว่า จรูญไม่มีเจตนาให้คนมาเอาไป ก็ไปสู้ในศาลได้ แต่สิ่งที่ผิดแน่ๆ ก็คือการนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ แล้วกรณีที่รองเท้ามันเหลืออยู่ ถ้าเห็นโพสต์ของจรูญแล้วมาเอาของไป ก็ถือว่าจรูญก็มีส่วนผิดเหมือนกัน