เมื่อวันที่ 8 ก.พ.แพทย์เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ได้ออกมาโพสต์ภาพและข้อความผ่าน เพจ “หมอเจด” ระบุว่า
เช็กด่วน! ถ้ามี 1 ใน 7 ข้อนี้ ระวังไขมันพอกตับ
หลายคนอาจคิดว่าโรคตับเป็นเรื่องของคนที่ดื่มเหล้าหนักๆ เท่านั้น แต่จริงๆ แล้ว “ไขมันพอกตับ” หรือ Non-Alcoholic Fatty Liver Disease (NAFLD) เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน แม้แต่คนที่ไม่แตะเหล้าเลย และที่น่ากลัวคือ ไม่มีมีสัญญาณเตือน ไม่มีอาการให้รู้ตัวตั้งแต่แรก กว่าจะรู้ก็ตอนที่ตับเริ่มมีปัญหาแล้ว ถ้าปล่อยไว้ไม่ดูแล อาจลุกลามไปเป็น ตับอักเสบ ตับแข็ง หรือหนักสุดคือมะเร็งตับ ได้เลยนะ
แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเสี่ยงหรือเปล่า? ถ้าคุณมี 1 ใน 7 ข้อต่อไปนี้ ต้องระวังเรื่องของไขมันพอกตับนะครับ
1. น้ำหนักเกิน หรือ BMI สูงกว่ามาตรฐาน
เชื่อว่าหลายคนเคยยินดัชนีมวลกาย หรือ BMI ซึ่งเป็นตัวชี้วัดง่ายๆ ว่าเราอยู่ในเกณฑ์น้ำหนักปกติ หรือเริ่มเข้าสู่ภาวะอ้วน ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการสะสมของไขมันในตับ
คำนวณง่ายๆ คือ น้ำหนักตัว [กิโลกรัม] ÷ ส่วนสูง [เมตร] ยกกำลังสอง หรือจะหาเข้าเว็บคำนวณเอาก็ได้นะครับ
โดยคำนวณออกแล้ว สำหรับเราเป็นคนเอเชีย
•ผู้หญิง ถ้า BMI มากกว่า 23
•ผู้ชาย ถ้า BMI มากกว่า 25
แสดงว่าภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน ซึ่งหมายความว่าโอกาสที่ไขมันจะพอกตับก็สูงขึ้นไปด้วย ยิ่ง BMI สูง ไขมันก็ยิ่งสะสมมากขึ้น และส่งผลให้เกิดตับอักเสบเรื้อรัง (NASH) ได้
2. รอบเอวเกินเกณฑ์
ไม่ใช่แค่ BMI ที่สำคัญ รอบเอว ก็เป็นอีกเรื่องที่สำคัญเหมือนกัน คนที่มีพุงใหญ่หรือไขมันสะสมบริเวณหน้าท้อง มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคนี้ เพราะไขมันที่สะสมในช่องท้องมันสัมพันธ์กับภาวะดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งส่งผลให้ไขมันไปสะสมในตับมากขึ้น
เกณฑ์ที่ใช้วัดในคนเอเชียคือ
•ผู้หญิง รอบเอวเกิน 32 นิ้ว (80 ซม.)
•ผู้ชาย รอบเอวเกิน 36 นิ้ว (90 ซม.)
อันนี้ก็ต้องเป็นเรื่องที่ต้องสนใจนะครับ เพราะไขมันที่สะสมในพุงเยอะๆ มันเป็นสัญญาณว่าร่างกายกำลังเผาผลาญผิดปกติ และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน หัวใจ และไขมันพอกตับนะครับ
3. น้ำหนักตัวเกินเกณฑ์เมื่อเทียบกับส่วนสูง
นอนจากคำนวณ BMI แล้ว ก็ยังมีมีวิธีเช็กง่ายๆ คือการเอาส่วนสูง (ซม.) มาลบด้วยตัวเลขตามนี้
•ผู้หญิง เอาส่วนสูง ลบ 110
•ผู้ชาย เอาส่วนสูง ลบ 100
ตัวอย่างให้เห็นภาพคือ อย่างผมเป็นผู้ชายสูง 175 ซม. น้ำหนักก็ไม่ควรเกิน 75 กก. ถ้ามากกว่านี้ แสดงว่าเริ่มเข้าสู่ภาวะไขมันเกิน ซึ่งหมายถึงโอกาสที่ไขมันจะไปสะสมในตับ
แต่ฝากรระวังอีกเรื่องนะครับ บางคนดูภายนอกอาจจะไม่อ้วน แต่ก็มีไขมันสะสมที่อวัยวะภายใน รวมถึงตับได้เช่นกันนะ
4. เป็นเบาหวานชนิดที่ 2
คนที่เป็น เบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes) มีความเสี่ยงสูงมากต่อการเกิดไขมันพอกตับ เพราะร่างกายของพวกเขาไม่สามารถใช้อินซูลินได้ดี ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง และเมื่อใช้ไม่หมด น้ำตาลส่วนเกินจะถูกเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมในตับ ถ้าคุณเป็นเบาหวานอยู่แล้ว แล้วปล่อยให้เกิดไขมันพอกตับเพิ่มขึ้น อันนี้ยิ่งอันตรายนะครับ มันอาจทำให้โรคหนักกว่าเดิม เสี่ยงต่อภาวะตับอักเสบและตับแข็งมากขึ้นด้วย
5. ความดันโลหิตสูง
คนที่ความดันโลหิตสูง (มากกว่า 130/80 mmHg) ไม่ได้เสี่ยงแค่โรคหัวใจนะครับ คุณยังเสี่ยงไขมันพอกตับด้วย เพราะมันสัมพันธ์กับภาวะดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งเป็นสาเหตุของไขมันสะสมในตับ
นอกจากคุมความดันแล้ว อย่าลืมคุมน้ำหนักด้วยนะครับ เพราะถ้าคุณเป็นทั้งความดันสูงและน้ำหนักเกิน ยิ่งเพิ่มโอกาสที่จะเป็นไขมันพอกตับ
6. ไขมันในเลือดผิดปกติ
ถ้าเราไปตรวจสุขภาพแล้วพบว่า
•ไตรกลีเซอไรด์ สูงกว่า 150 mg/dL
•HDL (ไขมันดี) ต่ำกว่า 40 mg/dL (ในผู้ชาย) และ 50 mg/dL (ในผู้หญิง)
คุณอาจกำลังสะสมไขมันในตับแบบไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้นผมก็แนะนำหมั่นตรวจเช็กร่างกายนะครับ เพราะเราจะได้รู้ว่าร่างกายเรากำลังมีปัญหาหรือเปล่านะ เพราะถ้าไขมันในเลือดผิดปกติ ส่งผลโดยตรงต่อการสะสมของไขมันที่ตับ ถ้าปล่อยไว้ อาจนำไปสู่ภาวะตับอักเสบได้ และเสี่ยงมะเร็งตับนะครับ
7. ค่าตับสูงกว่าปกติ
ปกติหมอก็มักจะตรวจค่า AST (SGOT) และ ALT (SGPT) เพื่อตรวจดูสุขภาพตับ ถ้าค่าพวกนี้สูงเกิน 25-30 U/L อาจเป็นสัญญาณว่าตับกำลังมีปัญหา อาจมีไขมันสะสมมากเกินไป หรือมีการอักเสบเกิดขึ้นแล้ว
อันนี้นี้เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญนะ บางคนค่าตับเริ่มสูงขึ้นแต่ยังไม่มีอาการ ถ้าไม่ดูแล อาจพัฒนาไปเป็นตับแข็งได้
ถ้ามี 1 ใน 7 ปัจจัยเสี่ยงนี้ ต้องเริ่มดูแลตัวเองแล้วนะ วิธีป้องกันง่ายๆ
คุมอาหาร ลดน้ำตาลและไขมัน
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
ทำ IF
หลีกหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และน้ำอัดลม
ตรวจสุขภาพเป็นประจำ
ฝากด้วยนะรัย ไขมันพอกตับเป็นภัยเงียบ ที่รู้ตัวอีกทีก็อาจจะสาย แต่มันก็สามารถป้องกันได้ แค่ดูแลตามที่ผมบอกไปนะ ก็จะลดความเสี่ยงไขมันพอกตับ รวมถึงมะเร็งตับด้วยนะครับ ใครมีคำถามคอมเมนต์ได้เลยนะครับ