เพจ facebook คนเมืองกาญจน์2 รีเทิร์น ได้มีการแชร์รูปถ่ายป้ายข้อความ โดยระบุว่า เป็นป้ายในวัดชื่อดังแห่งหนึ่งของจังหวัดกาญจนบุรี โดยมีข้อความ ระบุว่า “ประกาศ เนื่องจากทางวัดมีค่าใช้จ่าย ในการดูแลทำนุบำรุงวัดเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ทั้งค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าคนดูแลรักษา ค่าทำความสะอาด ค่าแรงงาน ค่าซ่อมแซมต่อเติม แก้ไข วัตถุต่างๆ ภายในวัด ทางวัดถ้ำเสือ จึงขอเก็บค่าบำรุงวัด ท่านละ 20 บาท ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคมนี้เป็นต้นไป”
ซึ่งหลังจากป้ายข้อความดังกล่าวนี้ ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสื่อสังคมออนไลน์ของชาวจังหวัดกาญจนบุรีอย่างกว้างขวาง มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นทั้งเชิงเห็นด้วย และเชิงไม่เห็นด้วยเป็นจำนวนมาก
ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย จะมองว่าวัดไม่ใช่ธุรกิจ สวนสัตว์หรือสวนสนุก ที่จะต้องเก็บค่าเข้าชม การมาเรียกเก็บเงินคนละ 20 บาทเช่นนี้ จึงเป็นเรื่องไม่เหมาะสม
ขณะที่บางรายก็มองว่า การเรียกเก็บค่าบำรุงวัดคนละ 20 บาท คล้ายกับการที่คนไทยเดินทางไปต่างประเทศ แล้วต้องเสียค่าเหยียบแผ่นดิน ทั้งที่วัดแห่งนี้ก็อยู่ในประเทศไทย และเป็นสมบัติส่วนรวมของทุกคน ยังไม่สมควรที่จะเก็บเงินเช่นนี้ ถึงยังมีผู้ใช้ Facebook บางราย เข้ามาตั้งคำถามถึงเงินทำบุญที่ในแต่ละวัน มีคนเดินทางเข้ามาทำบุญที่วัดเป็นจำนวนมาก ว่านำไปใช้อะไรหมด รวมถึงตั้งคำถามถึงหญิงสาวรายหนึ่ง ที่ขับรถกระบะเข้ามาที่วัดเป็นประจำ และคอยเข้ามาวุ่นวายเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆ ภายในวัดว่าเป็นใคร
ผู้สื่อข่าวตัดสินใจเดินทางลงพื้นที่ไปยังวัดถ้ำเสือ ในอำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี และพบว่าภายในวัดมีการติดป้ายประกาศสีฟ้าดังกล่าว ไว้ตามจุดต่างๆ หลายจุด มีทั้งที่เป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เมื่อเดินเข้าไปสอบถามกับเจ้าอาวาสของวัดถ้ำเสือ ถึงเรื่องของการติดป้ายประกาศดังกล่าว ทางเจ้าอาวาสแสดงความไม่พอใจพร้อมชี้หน้าด่า และห้ามไม่ให้ผู้สื่อข่าวบันทึกภาพ
แต่หลังจากใช้เวลาพูดคุยทำความเข้าใจอยู่ระยะหนึ่ง ทางเจ้าอาวาสวัดถ้ำเสือจึงได้อธิบายว่า ที่ตนติดป้ายประกาศดังกล่าว ก็เพื่อต้องการเก็บเงินค่าบำรุงวัด มาเป็นเงินสำหรับค่าใช้จ่ายภายในวัด เนื่องจากทุกวันนี้ วัดมีค่าใช้จ่ายมาก ทั้งเรื่องของการซ่อมแซมรถกระเช้าไฟฟ้า ที่ใช้รับส่งนักท่องเที่ยวขึ้นไปด้านบนของวัด ใช้เงินมากกว่า 10 ล้านบาท รวมถึงเงินค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าจ้างคนงานภายในวัดทำความสะอาด ซึ่งมีมากกว่า 30 คน
หากจะหวังรอเพียงเงินทำบุญของผู้ที่มาทำบุญภายในวัดก็ไม่เพียงพอ รวมถึงยังฝากคำถามไปยังรัฐมนตรี และหน่วยงานเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ที่นำรูปภาพของวัดไปโปรโมตเป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวที่วัดจำนวนมาก แต่กลับไม่เคยให้เงินสนับสนุน หรือเงินค่าใช้จ่ายใดๆ กับทางวัด ทำให้ทางวัดต้องแบกรับค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก บางเดือนก็แทบจะขาดทุน รวมถึงบรรดาไกด์นำเที่ยว ที่พานักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวที่วัด เข้ามาถ่ายรูป มาเดินเที่ยว มาเข้าห้องน้ำ แต่กลับไปบอกนักท่องเที่ยวไม่ให้ทำบุญกับทางวัด เส้นทางภาครัฐควรจะเรียกเก็บเงินจากไกด์นำเที่ยวพวกนี้ รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ แล้วเอามาให้วัดเป็นค่าใช้จ่าย กลายเป็นว่าทุกวันนี้ ตนเองซึ่งเป็นเจ้าอาวาส ต้องคอยดูแลทุกอย่างเพื่อให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวไทยเข้ามาเหยียบย่ำวัด โดยที่วัดไม่ได้อะไรเลย
ในระหว่างที่พูดคุยกันอยู่ ได้มีเจ้าหน้าที่จากสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดกาญจนบุรี และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสำนักงานกาญจนบุรี เดินทางเข้ามาพบกับเจ้าอาวาสของวัดถ้ำเสือ เพื่อพูดคุยถึงประเด็นที่กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในขณะนี้ แต่ก็ได้รับคำตอบเช่นเดิม
โดยทางเจ้าอาวาสยืนยันว่า คนที่ไปโพสต์โจมตีในอินเทอร์เน็ต ไม่ได้เป็นคนที่เข้ามาเที่ยวที่วัด อีกทั้งคนที่มาเที่ยวที่วัดทุกวันนี้ ก็แทบจะไม่เคยทำบุญกับทางวัด เพียงแต่มาเดินเที่ยวมาถ่ายรูปแล้วก็กลับไป ทุกวันนี้ตนอยากจะปิดวัดไปเลย ไม่อยากต้อนรับนักท่องเที่ยว อยากจะไปเป็นพระธรรมดา ไม่ได้อยากเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดแห่งนี้แล้ว
ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้พูดคุยกับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวภายในวัด โดยนักท่องเที่ยวรายหนึ่ง กล่าวว่า ตนเองไปวัดมาทั่วประเทศ ก็ไม่เคยเห็นว่าวัดจะมีการเรียกเก็บค่าบำรุงวัดรายละ 20 บาท อย่างเช่นที่วัดถ้ำเสือกำลังจะทำนี้ ซึ่งตนมองว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสม การทำบุญควรเป็นเรื่องตามจิตศรัทธาของผู้ที่มาทำบุญ ไม่ใช่มากำหนดกฎเกณฑ์เช่นนี้ แล้วการที่บอกว่าวัดวัดหนึ่งมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวเยอะ แต่ไม่ค่อยมีคนทำบุญ ทำให้วัดขาดทุน มันไม่น่าจะเป็นไปได้
ด้านพระครูกาญจนสุตาคม เจ้าคณะอำเภอท่าม่วง เจ้าอาวาสวัดวังขนายทายิการาม กล่าวว่า ได้ทราบเรื่องดังกล่าวจากลูกศิษย์นำมาให้ดูแล้วเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา แต่ตนเองซึ่งเป็นเจ้าคณะอำเภอท่าม่วง ไม่สามารถเข้าไปกำหนดกฎเกณฑ์ใดๆ กับทางวัดถ้ำเสือได้ แต่หากมีผู้ที่ไม่เห็นด้วยถึงเรื่องดังกล่าว ก็ควรจะทำหนังสือแจ้งไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดกาญจนบุรี หรือเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อให้พิจารณาดำเนินการในเรื่องนี้ต่อไป