เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 13 ม.ค. ศาลอุทธรณ์ภาค 5 อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อ 1324/2567 ผ่านทางจอภาพไปยังศาลจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีกลุ่มคนรักเตี้ย มช. และวอชด็อกไทยแลนด์ ที่เป็นโจทก์ ได้เข้ารับฟังการพิจารณาคดี ที่ได้ต่อสู้กันมากว่า 3 ปี เพื่อดำเนินคดีกับ สิบตำรวจโท ปริญญา ปัญญาบุตร ที่เป็นผู้ก่อเหตุ

โดยมีเนื้อหาแห่งคดีสรุปได้ความ ดังนี้ คดีนี้พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 3-7 พ.ค. 63 จำเลยลักเอาสุนัขชื่อ เตี้ย มช. ของผู้เสียหายที่ 1 ที่อยู่ในความครอบครองของผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งสุนัขนี้อาศัยอยู่ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ส่วนผู้เสียหายที่ 3 เป็นมูลนิธิ แล้วจำเลยได้ใช้วัตถุของแข็งไม่มีคมไม่ทราบชนิดและขนาด ทำร้ายสุนัขตัวนี้บริเวณขาหลังช่วงล่างลำตัวและกะโหลกศีรษะ เป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษข้อหาลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะฯ และข้อหาทารุณกรรมสัตว์โดยไม่มีเหตุอันสมควร ให้จำเลยชดใช้ราคาสุนัข 100,000 บาท แก่ผู้เสียหายทั้งสาม จำเลยให้การปฏิเสธ ผู้เสียหายที่ 1 เข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่า ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 ไม่ได้ยึดถือสุนัขชื่อ เตี้ย มช. เป็นของตนแล้ว ส่วนผู้เสียหายที่ 2 เป็นเพียงผู้ดูแลจึงไม่ใช่เจ้าของ ผู้เสียหายที่ 3 ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสุนัขตัวนี้จึงไม่ใช่เจ้าของเช่นกัน สุนัขตัวนี้จึงไม่มีเจ้าของ การที่จำเลยเอาสุนัขนี้ไป จึงไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์ ส่วนความผิดในข้อหาทารุณกรรมสัตว์โดยไม่มีเหตุอันสมควร เห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์รับฟ้องได้ว่าจำเลยได้เอาสุนัขชื่อ เตี้ย มช. ไปและทำร้ายจนถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานทารุณกรรมสัตว์โดยไม่มีเหตุอันสมควร จำคุก 6 เดือน ยกฟ้องข้อหาลักทรัพย์ฯ และยกคำขอให้ชดใช้ค่าเสียหาย

กระทั่งต่อมาได้มีการยื่นอุทธรณ์ต่อ จึงได้มีการโต้แย้งเพื่อเพิ่มเติม จากพยานหลักฐานที่มีอยู่ เพื่อให้ดำเนินกับผู้ก่อเหตุในอัตราโทษที่เพิ่มขึ้น ในความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยใช้ยานพาหนะฯ จากการพิจารณาคดีและการตรวจสอบข้อมูลทั้งหมด พบว่า คำให้การที่จำเลยโต้แย้งว่า พาสุนัขนั่งรถจักรยานยนต์เพื่อไปเที่ยว แต่ในระหว่างทางจำเลยเสียการทรงตัว ทำให้สุนัขตกจากรถ เป็นเหตุให้ถูกรถจักรยานยนต์ที่จำเลยขี่ทับตาย แต่ทางโจทก์ได้มีการพิสูจน์ซากสุนัข เตี้ย มช. ผลออกมาพบว่า ขาหลังทั้งสองเป็นรอยช้ำ กระเพาะปัสสาวะฉีกขาด กะโหลกศีรษะแตกเป็นหลายชิ้น ลักษณะแผลที่กล่าวไม่เหมือนถูกรถทับ ตามภาพบริเวณที่เกิดเหตุเป็นที่เปลี่ยวกลางคืนไม่เหมาะที่จะไปเที่ยว โจทก์มีข้อมูลการสนทนาระหว่างจำเลยกับคนที่จำเลยคบหา โดยจำเลยกล่าวว่า จะฆ่าสุนัขชื่อ เตี้ย มช. ที่สำคัญตามภาพรถจักรยานยนต์ที่จำเลยขี่ เห็นว่าที่วางเท้าที่สุนัขนั่งกับล้อหลังใกล้กันมาก หากสุนัขตกจากรถแทบเป็นไปไม่ได้ที่สุนัขจะถูกรถนั้นทับ และที่จำเลยอ้างว่ารถเสียการทรงตัวทำให้สุนัขตกจากรถ ก็ต่างกับคำให้การในชั้นสอบสวนที่จำเลยเขียนอ้างว่าสุนัขกระโดดลงจากรถจึงถูกรถทับ

ส่วนอุทธรณ์ของโจทก์และโจทก์ร่วมข้ออื่น ปัญหาว่าจำเลยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์หรือไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 โดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า จากข้อเท็จจริงที่รับฟังได้ว่า สุนัขชื่อ เตี้ย มช. มาอยู่ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตั้งแต่ปี 2558 โดยโจทก์ร่วมก็ทราบและไม่นำสุนัขนี้กลับ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก็มอบหมายให้ผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นพนักงานของตน ดูแลสุนัขภายในมหาวิทยาลัย ผู้เสียหายที่ 2 จึงดูแลสุนัขชื่อ เตี้ย มช. ในเรื่องอาหารและที่อยู่อาศัย จัดให้มีการฉีดวัคซีน ทำหมัน ฝังไมโครชิป ตรวจสุขภาพประจำปี พฤติกรรมเช่นนี้แสดงว่าโจทก์ร่วมได้สละกรรมสิทธิ์ในสุนัขตัวนี้ และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้เข้าครอบครองเป็นเจ้าของสุนัข ส่วนผู้เสียหายที่ 2 เป็นเพียงผู้ดูแลไม่ใช่เจ้าของ ผู้เสียหายที่ 3 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสุนัขตัวนี้ จึงไม่ใช่เจ้าของเช่นกัน ดังนั้น เมื่อสุนัขนี้เป็นของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไป และแม้จำเลยจะเอาไปทำร้ายจนตายก็ถือว่าจำเลยเอาไปด้วยเจตนาทุจริตเช่นกัน จำเลยจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะฯ ตามที่โจทก์ฟ้องอีกกระทงหนึ่ง และจำเลยต้องชดใช้ราคาสุนัขให้แก่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ผู้เป็นเจ้าของ ซึ่งสุนัขตัวนี้มีคุณค่า สามารถใช้เป็นประโยชน์ในลักษณะต่างๆ แก่สังคมยิ่งกว่าสุนัขทั่วไป จึงเห็นควรให้จำเลยชดใช้ราคาเป็นเงิน 100,000 บาท

ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยใช้ยานพาหนะฯ อีกระทง จำคุก 1 ปี 6 เดือน ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 12 เดือน และลดโทษจำคุก 6 เดือน ฐานทารุณกรรมสัตว์โดยไม่มีเหตุสมควรให้หนึ่งในสามเช่นกัน คงจำคุกในความผิดนี้ 4 เดือน รวมจำคุกจำเลย 16 เดือน ให้จำเลยชดใช้เงิน 100,000 บาท แก่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

สำหรับ เตี้ย มช. เป็นสุนัขเพศผู้อายุ 8 ปี อาศัยอยู่ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นที่รู้จักจากประเพณีรับน้องขึ้นดอยของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในทุกๆ ปี จะร่วมวิ่งขึ้นดอยกับนักศึกษา จนกลายเป็นขวัญใจของชาว มช. กระทั่งวันที่ 4 พฤษภาคม 2563 เตี้ยได้หายตัวไป ทำให้นักศึกษาและศิษย์เก่าพากันออกตามหาและมีการลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจ หลังหายตัวไปนานหลายวัน ก็พบร่างเตี้ยถูกยัดใส่ถุงพลาสติกทิ้งไว้ในป่าริมถนน ต่อมาชุดสืบสวนสถานีตำรวจภูธรช้างเผือก ตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบว่า คนที่พาเตี้ยออกจากมหาวิทยาลัย คือ สิบตำรวจโท ปริญญา ปัญญาบุตร ภายหลังให้การรับสารภาพว่าตั้งใจพาเตี้ยออกไปนั่งรถเล่น แต่เกิดอุบัติเหตุถูกรถทับจนเตี้ยตาย จากนั้นมีการสืบสวนสอบสวนจนถูกสั่งฟ้อง 2 ข้อหา ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อปี 2566 ลงโทษผู้ต้องหาความผิดฐานกระทำการทารุณกรรมสัตว์ 6 เดือน ไม่รอลงอาญา แต่ความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนยกฟ้อง เนื่องจากข้อพิสูจน์ต่าง ๆ ในความเป็นเจ้าของในตัวสุนัขไม่ชัดเจน ซึ่งทางมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จึงได้ส่งหลักฐานการอาศัยอยู่ในพื้นที่มหาวิทยาลัย โดยมีการให้อาหาร ฉีดวิคซีน ทำหมัน ตรวจสุขภาพประจำปีและฝังไมโครชิป เพิ่มเติมต่อศาลและได้นัดติดสินคดีในวันนี้