อัฟราม เกลเซอร์ ยืนยันว่าเขาจะไม่ขายหุ้นสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังถูกนักข่าวในไมอามี่สอบถามเกี่ยวกับเรื่องนี้
ถึงแม้ตระกูลเกลเซอร์จะอนุมัติการขายหุ้นบางส่วนให้กับ เซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ เจ้าของ Ineos เมื่อปีที่แล้ว แต่พวกเขายังคงถือหุ้นใหญ่และมีอำนาจบริหารสโมสรต่อไป
แฟนบอล แมนฯ ยูไนเต็ด จำนวนมากยังคงไม่พอใจที่ ตระกูลเกลเซอร์ ยังอยู่กับสโมสร เพราะตั้งแต่ มัลคอล์ม เกลเซอร์ (พ่อของพวกเขา) เทคโอเวอร์ทีมด้วยวิธี “กู้เงินซื้อ” เมื่อปี 2005 แฟน ๆ ก็ต่างออกมาประท้วงและเรียกร้องให้พวกเขาขายสโมสรมาโดยตลอด
ก่อนหน้านี้ ในปี 2022 ตระกูลเกลเซอร์เคยเปิดรับข้อเสนอจากนักลงทุน ทำให้แฟนบอลมีความหวังว่า พวกเขาอาจขายสโมสรและออกไปจากโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด แต่สุดท้ายพวกเขากลับเลือกดีลของ แรตคลิฟฟ์ ที่ยังทำให้ตัวเองมีอำนาจอยู่ในทีม
ล่าสุด นักข่าวจาก สกาย สปอร์ตส์ ได้ถาม เกลเซอร์ ตรง ๆ ว่า เขาจะขายสโมสรทั้งหมดไหม? ซึ่งเขาตอบสั้น ๆ ว่า “ไม่” ก่อนจะเดินออกจากโรงแรมไป
นอกจากนี้ เกลเซอร์ ยังถูกถามเกี่ยวกับกระแสวิจารณ์ เซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ ที่ปลดพนักงาน แมนฯ ยูไนเต็ด ถึง 250 คน ตั้งแต่เข้ามาดูแลด้านกีฬาของสโมสร และล่าสุดมีรายงานว่าอาจมีการปลดพนักงานเพิ่มอีก
แต่ เกลเซอร์ เลือกที่จะไม่ตอบคำถามนี้ โดยกล่าวเพียงว่า “ผมกำลังจะไปพบกับท่านประธานาธิบดี (โดนัลด์ ทรัมป์) ตอนนี้ ไม่เหมาะจะพูดถึงเรื่องนี้”
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันเดียวกับที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เผยตัวเลขทางการเงินไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสโมสรมีหนี้รวมถึง 1 พันล้านปอนด์ (แบ่งเป็นหนี้ 731 ล้านปอนด์ และค้างจ่ายค่าตัวนักเตะกว่า 300 ล้านปอนด์)
กลุ่มแฟนบอล Manchester United Supporters’ Trust (MUST) ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่า “นี่คือการบริหารที่ล้มเหลว” และยังสะท้อนให้เห็นปัญหาของสโมสรที่ไม่ใช่แค่เรื่องในสนาม
นอกจากปัญหาทางการเงินแล้ว ผลงานในสนามของ แมนฯ ยูไนเต็ด ฤดูกาลนี้ก็ย่ำแย่เช่นกัน โดยพวกเขารั้งอันดับ 15 ในพรีเมียร์ลีก ซึ่งถือเป็นผลงานที่แฟนบอลรับไม่ได้อย่างสิ้นเชิง
