เมื่อวันที่ 23 ม.ค. 68 พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รอง ผบ.ตร. ลงพื้นที่ จ.ชุมพร เพื่อประชุมติดตามการปฏิบัติการป้องกัน ปราบปรามการพักคอยยาเสพติดในพื้นที่ตอนใน การสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดลงพื้นที่ภาคใต้ โดยได้ติดตามการดำเนินงานและรับทราบปัญหา อุปสรรค หลังจากนั้นได้ตรวจเยี่ยม มอบสิ่งของบำรุงขวัญและกำลังใจให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ ณ ด่านตรวจยาเสพติดถาวร อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร

ตามนโยบายรัฐบาลที่ตระหนักและให้ความสำคัญในการปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มงวดในทุกมิติ ควบคู่กับการกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยมุ่งหวังให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินการดังกล่าว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ได้นำนโยบายรัฐบาลมาสู่การปฏิบัติ โดยได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รอง ผบ.ตร. ในฐานะประธานอนุกรรมการป้องกัน ปราบปรามการพักคอยยาเสพติดในพื้นที่ตอนใน และการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดลงสู่พื้นที่ภาคใต้ และผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยนักท่องเที่ยว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขับเคลื่อนการปฏิบัติให้บรรลุผลสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ โดยได้ลงพื้นที่ประชุมติดตามการปฏิบัติในครั้งนี้

สำหรับด่านตรวจยาเสพติดถาวร ด่านตรวจยานพาหนะชุมพร มีสนับสนุนกำลังพลจาก กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด, กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 8, กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 414, ตำรวจภูธรจังหวัดชุมพร รวมจำนวน 62 นาย ในการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งผลการจับกุมในปี 2567 มีรถที่เข้าทำการ X-RAY จำนวน 5,784 คัน ตรวจค้นพบยาเสพติด 21 คัน และได้ตรวจค้นและพบผู้กระทำความผิด จำนวน 86 คดี 91 คน ตามหมายจับคดียาเสพติด 17 คดี อาญาอื่นๆ 3 คดี ผลการจับกุมได้ ยาบ้า 11,065,730 เม็ด ไอซ์ 103 กิโลกรัม คีตามีน 0.5 กิโลกรัม และทรัพย์สินที่ตรวจยึด 131,770,129 บาท สำหรับผลการดำเนินการจับกุมยาเสพติด ในพื้นที่จังหวัดชุมพร ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 67-22 ม.ค. 68 ได้จับกุม 1,028 คดี มีผู้ต้องหา 1,036 คน ได้ยาบ้า 197,665 เม็ด ไอซ์ 1,035.86 กรัม และยาอี 0.7 กรัม

พล.ต.อ.ประจวบ กล่าวว่า นโยบายการส่งเสริมการท่องเที่ยวเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ที่มุ่งมั่นผลักดันการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว ควบคู่ไปกับการดูแลรักษาความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ที่ดี หากนักท่องเที่ยวมีความเชื่อมั่นและเลือกเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลให้ประเทศไทยมีรายได้จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ สามารถสร้างงาน สร้างรายได้ให้ประชาชน

รอง ผบ.ตร. กล่าวอีกว่า ได้สั่งการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม เน้นการสร้างชุมชนท่องเที่ยวเข้มแข็ง โดยมีภาคีเครือข่ายภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการช่วยป้องกันอาชญากรรม ให้ประเมินสถานที่ท่องเที่ยวในพื้นที่รับผิดชอบ จัดแบ่งประเภทสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความเสี่ยงสูง เสี่ยงกลาง เสี่ยงต่ำ ไว้อย่างเป็นระบบ นำมากำหนดออกแผนการออกตรวจร่วมกับตำรวจพื้นที่ ในระบบ POLICE 4.0 ในการออกตรวจให้เน้นการปรากฏกายของเจ้าหน้าที่ ออกตรวจตราตามจุดต่างๆ นำหลัก Stop Walk and Talk มาใช้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว เป็นการตัดช่องโอกาสหรือขจัดปัจจัยที่จะทำให้มีอาชญากรรมเกิดขึ้นได้

นอกจากนี้ ให้ X-Ray พื้นที่รับผิดชอบ จัดทำข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวตามวงจรการท่องเที่ยว จัดทำข้อมูลกลุ่มผู้มีอิทธิพล การทำธุรกิจ ที่ดำเนินการโดยคนต่างชาติแล้วจ้างคนไทยจดทะเบียนบริษัทดำเนินกิจการที่ผิดกฎหมาย กวดขันปราบปรามกลุ่มที่เอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยวและมัคคุเทศก์เถื่อน บูรณาการกำลังร่วมกับตำรวจท้องที่ และตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เมื่อรับแจ้งเหตุจากนักท่องเที่ยว ให้ประสานตำรวจท้องที่เข้าระงับเหตุ หรือช่วยเหลือนักท่องเที่ยวได้ทันท่วงที โดยยึดถือเป็นหน้าที่หลักของตำรวจท่องเที่ยวมืออาชีพ พร้อมกำชับให้ข้าราชการตำรวจทุกนาย ห้ามมิให้มีการเรียกรับผลประโยชน์กับนักท่องเที่ยวโดยทุจริต โดยเด็ดขาด

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความพร้อมในการปฏิบัติ เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายต่างทุ่มเทและตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ อำนวยความสะดวกและยกระดับความเชื่อมั่นในความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนและนักท่องเที่ยว ส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ.