เมื่อวันที่ 27 ก.พ. ที่กระทรวงยุติธรรม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ, พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม, พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผบ.ตร. พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) พร้อมด้วย พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ รอง ผบช.สตม. และหน่วยงานด้านความมั่นคงอื่นๆ ร่วมกันประชุมหารือการส่งชาวอุยกูร์กลับจีน

ภายหลังการประชุม 1 ชั่วโมง 30 นาที นายภูมิธรรม พร้อมด้วย นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นำแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ซึ่งการแถลงครั้งนี้นายภูมิธรรมได้นำภาพขึ้นจอตอนส่งชาวอุยกูร์กลับจีนให้สื่อมวลชนดูด้วย เพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทั้งบรรยากาศการลงจากเครื่องบิน มีคนมาต้อนรับ การกินข้าว การเจอกับครอบครัว สวมกอดร้องไห้ การได้รับการรักษาพยาบาล

โดยนายภูมิธรรม ยืนยันว่า ชาวอุยกูร์ที่ส่งกลับมีล่าสุดทั้งหมด 40 คน ยังเหลืออีก 5 คนที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำประเทศไทยไปจนถึงปี 2572 เนื่องจากพยายามหลบหนีจากสถานกักกันได้รับโทษ 7 ปี

นายภูมิธรรม ระบุว่า ตนได้ยินการอภิปรายว่าทำไมรัฐบาลไทยยังไม่รู้เรื่อง ขณะที่จีนออกมาเคลื่อนไหวแล้ว ความจริงการดำเนินการครั้งนี้เป็นการวางแนวทางปฏิบัติไว้แต่ต้น แต่ที่ยังช้าอยู่เพราะอยากให้กระบวนการทางจีนเสร็จครบถ้วน กระบวนการครั้งนี้เป็นเรื่องตั้งแต่พิธีการทางการทูต ที่มีการติดต่อประสานมา ซึ่งเราจำเป็นต้องตรวจสอบอย่างรอบคอบ และดูอย่างดีชัดเจนว่า จะไม่ทราบผลกระทบกระเทือนและก่อให้เกิดปัญหาใดใด เพราะฉะนั้นสิ่งที่ทุกคนเป็นห่วงรัฐบาลก็เป็นห่วง เรื่องที่ว่าส่งไปแล้วจะมีปัญหาหรือไม่ รวมทั้งส่งเขาไปตายหรือไม่ ฯลฯ

นายภูมิธรรม ยืนยันว่า กระบวนการต่างๆ ที่เราทำมาเราทำสร้างความมั่นใจได้ว่า สิ่งที่เราดำเนินการนี้ถูกต้องตามกฏหมายในประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศรวมทั้งถูกต้องตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทำร้ายและการกระทำที่ทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 เพราะฉะนั้น เรามั่นใจว่าชาวอุยกูร์ที่เราส่งไปจะไม่พบกับปัญหาหรือสิ่งที่ทุกคนกังวล

“ผมอยากให้ท่านทั้งหลายดู เรากำลังชี้แจงอย่างเป็นกระบวนการทั้งหมดเพื่อให้เห็นภาพ ไม่อยากให้ใช้จินตนาการ เพราะว่าการใช้จินตนาการนำแต่จะสร้างให้เกิดปัญหา และเรื่องราวอีกหลายๆ อย่างขึ้น ซึ่งอาจไม่เป็นผลดีต่อประเทศ“ นายภูมิธรรม กล่าว

จากนั้นพล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ รอง ผบช.สตม. กล่าวว่า ระบุว่า สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองได้รับหนังสือจากสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. ให้ส่งชาวอุยกูร์กลับจีน และทางสตม.ได้มีการทำความเข้าใจกับผู้ต้องกักชาวอุยกูร์ ภายใต้ข้อตกลงที่ว่าหากเดินทางกลับไปแล้วทุกคนจะได้รับความปลอดภัย แม้ช่วงแรกจะมีกลุ่มคนบางส่วนไม่ยินยอมแต่ภายหลังที่มีการชี้แจงทำความเข้าใจทุกคนจึงยินยอม

ต่อมานายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า เรื่องชาวอุยกูร์ เราจับตัวมาและกักขังไว้แล้ว 10 ปี หากถามว่าเราอยากกักเขาไว้ถึง 10 ปีหรือไม่ เรายืนยันไม่อยากทำแบบนั้น เพราะว่าโทษของการลักลอบเข้าเมืองนั้นไม่มาก แต่การที่กักขังมา 10 ปีจริงแล้วเป็นปัญหาที่เราไม่ควรทำ ถ้าเราเปลี่ยนแปลงหรือผลักดันไปประเทศที่ 3 ได้เราควรทำ ซึ่งแนวทางการปฏิบัติส่งไปประเทศที่ 3 หากประเทศที่ 3 รองรับ หรือเจ้าของประเทศขอกลับ เราก็ต้องนำมาพิจารณา และหากสมัครใจกลับก็ไม่มีปัญหาอะไร เราขอยืนยันว่าข้อกังวลทั้งหมดอยู่ในข้อพิจารณาของเราทั้งสิ้นเป็นไปตามกฏหมายสากล อีกทั้งเราได้นำเอกสารทางการทูตที่ได้มีการแปลเป็นภาษาอุยกูร์ และเป็นภาษาจีน ไปทำความเข้าใจอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนสมัครใจกลับ ประกอบกับช่วงที่นายกรัฐมนตรีเดินทางไปยังประเทศจีน ซึ่งได้พูดคุยกับนายกฯของจีนด้วย ซึ่งก็มีการยืนยันกับนายกของเราว่าไม่ต้องเป็นห่วง ทางจีนจะดำเนินการอย่างดีเพราะคนเหล่านี้ก็เป็นคนจีนเหมือนกัน ทั้งหมดนี้จึงเป็นความเชื่อมั่นและนำมาสู่กระบวนการดังกล่าว

ช่วงหนึ่ง พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รอง ผบ.ตร. และนายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ Video Conference (วิดีโอคอนเฟอเรนซ์) จากประเทศจีน ภายหลังเดินทางไปส่งชาวอุยกูร์

โดยนายฉัตรชัย ได้อัพเดตว่า ชาวอุยกูร์ เดินทางกลับถึงที่หมายเรียบร้อยแล้ว ซึ่งมีคนป่วย 1 คนและได้นำส่ง รพ.แล้ว ส่วนคนอื่นๆ มีญาติพี่น้องมารอรับกลับที่พักแล้ว จากนั้นทางจีนได้พาเราไปเยี่ยมที่บ้านของอุยกูร์ ว่ามีความเป็นอยู่อย่างไร รวมทั้งได้ไปดูศูนย์ฝึกอาชีพด้วยซึ่งส่วนตัวได้มีโอกาสพูดคุยกับหนึ่งอุยกูร์ ซึ่งคนนี้สามารถพูดภาษาไทยได้ ก็ได้บอกขอบคุณรัฐบาลไทยที่ทำให้ได้กลับบ้าน ส่วนบรรยากาศพบว่าครอบครัวดีใจมาก ที่ทุกคนได้กลับบ้านครั้งนี้ และวันนี้ 28 ก.พ. 68 จะเดินทางไปเยี่ยมบ้านชาวอุยกูร์ ซึ่งห่างจากเมืองกว่า 100 กิโลเมตรว่าอยู่อาศัยอย่างไร ทั้งนี้ยืนยันว่าการส่งกลับในครั้งนี้แตกต่างจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยได้เดินลงมาจสกเครื่องบินปกติไม่มีเครื่องพันธนาการใดๆ

เมื่อถามว่าก่อนหน้านี้ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ชาวอุยกูร์พยายามขอไปประเทศที่ 3 และประเทศที่ 3 ยินยอมให้ไปเหตุใดถึงไม่มีการส่งไปนั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า ข้อเท็จจริงคือเคยมีประเทศตุรกีขอมาและได้จัดส่งไปแล้วประมาณ 109 ซึ่งเป็นเด็ก ผู้หญิง และคนชรา หลังจากนั้นไม่ได้รับการติดต่อ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องกักขังไว้ถึง 10 ปีเนื่องจากว่าไม่มีประเทศใดรับไป และความจริงแล้วไม่อยากให้ถูกกักขังในที่เรา ซึ่งสิ่งนี้ที่เราทำไปนั้นมันก็ไม่เหมาะสมในเรื่องสิทธิมนุษยชน แต่เพราะไม่มีใครรับไปเราก็ต้องดูแลอย่างดีที่สุด พร้อมยืนยันว่าตลอดที่ผ่านมาเราไม่ได้หยุดประสานไปยังประเทศอื่นๆ เลย แต่ตามที่เคยเรียนไปว่าประเทศจีน ส่งหนังสือมาว่าบุคคลเหล่านี้เป็นพลเมืองของประเทศจีน โดยยื่นหนังสือทางการทูตอย่างเป็นทางการ ซึ่งบุคคลเหล่านี้ไม่ได้กระทำความผิดร้ายแรง โดยหากนำตัวกลับไปแล้วจะดูแลอย่างดีและจัดหาอาชีพให้ ซึ่งทางการไทย จะเดินทางไปติดตามตรวจสอบสภาพความเป็นอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 7 วันแรก นายทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรมจะเดินทางไปตรวจสอบด้วยตัวเอง

ทั้งนี้ขอยืนยันผู้ต้องหาทั้งหมดมีความประสงค์ที่จะเดินทางกลับโดยความสมัครใจ ส่วนจะมีเหตุผลอะไรนั้นไม่สามารถตอบแทนได้ และการที่ต้องส่งตัวผู้ต้องกักทั้งหมดในช่วงเวลากลางคืน รวมถึงไม่เปิดเผยรายละเอียดนั้น เพราะไม่ต้องการให้เกิดความวุ่นวาย ในกระบวนการส่งตัว รวมถึงไม่อยากให้กรณีนี้เกิดการจินตนาการไปเอง เพราะทุกอย่างทำตามขั้นตอน

ส่วนกรณีนี้จะกระทบกับภาพลักษณ์ของประเทศไทยในมุมมองของต่างชาติ รวมถึงจะมีผลต่อการจัดอันดับการค้ามนุษย์ในประเทศไทยหรือไม่นั้น นายภูมิธรรม มองว่าภาพทั้งหมดกับข้อเท็จจริงที่ออกมาจะเป็นคำตอบในเวทีโลก

“เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญระหว่างประเทศหลายคนผิดความเห็นแตกต่างกัน ไม่อยากให้เอาความเชื่อที่ตัวเองคิดว่าจะเป็นอย่างโน้นอย่างนี้มาพูด อยากให้ใช้เรื่องนี้อย่างมีเหตุมีผล ซึ่งผมเชื่อว่าภาพอธิบายแทนคำตอบอยู่แล้ว ตอนแรกจะรอให้เรียบร้อยแล้วจึงมาแถลงแต่พอเป็นกระแสจึงนำมาแถลงเลย” นายภูมิธรรม กล่าว

นายภูมิธรรม กล่าวทิ้งท้ายว่า เรื่องนี้เราหาหลักประกันจนมั่นใจว่าสามารถส่งกลับได้ ซึ่งเมื่อไปถึงจะเห็นได้เลยว่าเขากลับไปมีชีวิตปกติอยู่กับครอบครัว เพียงแค่นี้ก็ถือว่าจบแล้ว คนจะชื่นชมประเทศไทยที่สามารถจัดการปัญหานี้ได้ชัดเจนและทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งมนุษยธรรมและมนุษยชาติ ควรน่าจะดีใจมากกว่าที่เอาพวกเขาออกจากที่คุมขังและได้ไปเจอพ่อแม่ลูกหรือภรรยาฯ

ฝากสื่อสารมวลชน ไม่ต้องเข้าข้างรัฐบาล ให้เอาความจริงให้ปรากฏ “ผมคิดว่าภาพเล่าเรื่องได้ดีกว่าที่จะให้คนทางรัฐบาลมาพูด” นายภูมิธรรม กล่าว