เมื่อวันที่ 21 พ.ย. รายการโหนกระแสวันนี้ ไปพูดคุยกับญาติของเหยื่อของคดี “แอม” ที่ถูกวางยาไซยาไนด์ จนกลายเป็นคดีดัง โดยสืบเนื่องจากคดีนี้ มาจากการเสียชีวิตของก้อย จนมีการสืบสวนและพบว่า แอม มีส่วนเกี่ยวข้องในคดีนี้ จากนั้น รพี ชำนาญเรือ ผู้ประสานงานในเรื่องนี้ได้มีการติดตามช่วยเหลือ จนพบว่ามีคดีที่เกี่ยวเนื่องและมีผู้เสียชีวิตอีก 14 ราย จนต่อมากองปราบปรามมีการสืบสวนคดีนี้ต่อเนื่อง

โดยแม่ของก้อย ได้เล่าถึงบรรยากาศในการพิจารณาคดีว่า เมื่อรับฟังคำพิพากษาแล้ว ดีใจ  กอดลูกหลานร้องไห้ เพราะรู้สึกว่าได้รับความยุติธรรมให้กับลูกสาว  ที่ผ่านมา ในการพิจารณาคดี รู้สึกเสียใจ เจ็บใจ จากทนายของจำเลย เพราะเขาพูดจาไม่ดี ถามคำถามที่เป็นการเหยียดหยามคนตาย ตั้งแต่ต่อสู้ทางคดี เวลาขึ้นศาล ทนายจำเลยพูดจาไม่ค่อยดี ตั้งแต่ตอนมาออกรายการโหนกระแส เขาหัวเราะ  ตอนนั้นเราเจ็บ เราเสียใจ เราฟังแล้วก็เจ็บที่หัวใจ เราก็เจ็บมาตลอด

พอตอนขึ้นศาล ไปเจอคำถามของทนายที่ว่า คุณบอกว่า ลูกก็อยู่กับคุณตลอดเวลา แล้วไปทำไมที่ภูเก็ต ไปขายบริการหรือเปล่า แต่ตอนนั้นแม่ก็ไม่เข้าใจว่าคำนี้คืออะไร มารู้ทีหลัง ก็เสียใจ เจ็บใจมาก เพราะเขาดูถูกคนตาย  ทีแรกแม่ยอมรับไม่มั่นใจ กลัวจะแพ้ แต่ทนายรพีพัฒน์เก่ง

ขณะที่ส้ม พี่สาวของก้อย เล่าว่า ตอนอยู่ในศาล เราก็ลึกๆ ก็หวังว่า เขาจะหันมาขอโทษ อยากฟังคำขอโทษจากปากเค้า มองเห็นเค้ายิ้ม ขนตางอน หันมามองครอบครัวตัวเอง มีแต่น้ำตา

ส่วน รพี ชำนาญ ผู้ประสานงานคดีนี้ และอีก 14 คดีที่กำลังเข้าสู่ชั้นอัยการ เล่าย้อนว่า คดีนี้มีหลักฐานค่อนข้างชัด  โดยแรงบีบคั้นที่ทำให้แอม ต้องก่อเหตุ คือ หนี้สินที่เกิดจากการพนัน หนี้บัตรเครดิต เลยประสงค์ต่อทรัพย์

โดยหลักฐานสำคัญคือโทรศัพท์ไอโฟน 14 โปรแม็กซ์ ของก้อย และกระเป๋าหลุยส์  ซึ่งวันเกิดเหตุ กระเป๋าหลุยส์ อยู่บนรถของแอม  และเมื่อทั้งสองคนลงไปที่ท่าน้ำที่ จ.ราชบุรี  ก้อยเอาแต่ไอโฟน 14 โปรแม็กซ์ลงไป  ซึ่งโทรศัพท์ดังกล่าวมีหลักฐานการพูดคุยของแอม และก้อย อยู่ในนั้นทั้งหมด ต่อมาเมื่อก้อยล้มลง แอม ได้ไปเอาโทรศัพท์ของก้อยมาเก็บไว้ และสลับเอาโทรศัพท์อีกเครื่องที่ไม่มีซิมไปวางกับก้อยแทน แล้วออกไป ซึ่งถือว่า เขาเป็นคนทำลายหลักฐาน  จนตอนนี้โทรศัพท์ไอโฟนยังไม่เจอ  นอกจากนี้ยังมีหลักฐานชัดเจนที่ครบตั้งแต่ แอม เป็นคนสั่งซื้อไซยาไนด์  ตอนไรเดอร์เอามาส่ง  ผลชันสูตรศพของก้อยก็พบสารไซยาไนด์ ซึ่งหลักฐานทั้งหมดแน่นมาก ถ้าแอมไม่ฆ่าก้อย ใครจะเป็นคนทำ

และในวันที่ 26 พ.ย. กองปราบปรามจะส่งสำนวนคดีอีก 14 สำนวนของคดีที่เกี่ยวเนื่องกับคดีนี้  ไปยังอัยการ ซึ่ง รพียืนยันว่า  ผมจะไปติดตามคดีต่อเนื่อง   

ขณะที่ต้า สามีของหนิม ผู้เสียชีวิต มาทราบภายหลังว่า ภรรยาเสียชีวิตและมีแอม เกี่ยวข้องในคดี เล่าด้วยว่า ภรรยา คือ หนิม เสียชีวิต 25 พ.ย. 2563 ตอนนี้ผมเข้าใจว่า เสียชีวิตด้วยภาวะคลอดลูกใหม่ ตอนนั้นไม่ติดใจ ก็มีความรู้สึกว่าเราก็เศร้า เสียใจอยู่แล้ว จนล่วงเลยมาปี 2566 มาทราบภายหลังเสียชีวิตเพราะถูกวางยา เกิดความรู้สึกเศร้ารอบสอง ลำพังเสียชีวิตปกติก็เศร้ามาก และพอมารู้ว่า ถูกกระทำวางยา ยิ่งเสียใจมาก และแค้นใจ  ผมมารู้ทีหลังเห็นข้อความในโทรศัพท์ว่า มีการส่งยาลดน้ำหนักมาให้

ผมยอมรับว่า ตอนไปฟังพิจารณาคดีช่วงแรกๆ  ทนายจำเลยก็ชี้ว่า น่าจะหลุดคดี เพราะไม่ได้เห็นตอนวางยาแล้วจะรู้ได้ไงว่า แอม เป็นคนทำ ก็เลยอดเป็นห่วงไม่ได้ แต่พอฟังคำพิพากษาคดีของก้อยแล้ว รู้สึกโล่งใจ สบายใจ  เพราะผมไปฟังตั้งแต่วันแรกพิจารณาคดี จนพิพากษาคดี

ตอนที่พิจารณาคดี ผมอยู่กับในห้องด้วย เจอคำถามทนายพัช ถามคุณแม่ของก้อยว่า เป็นคนไทยหรือเปล่า  คือ เขาจะพยายามชี้ให้ศาลเห็นว่า ไม่ใช่แม่ลูกกัน ซึ่งตอนนั้นมีการเรียกค่าเสียหาย ซึ่งคุณแม่ได้มีเรียกค่าเสียหาย 30 ล้าน และมีการพูดถามว่า ลูกมีอาชีพอะไร ขายบริการไหม ทำให้ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์  ลุกขึ้นพูดกลางศาลว่า ให้พูดจาดีๆ อย่าดูถูกคนตาย

ผมได้ฟังการพิจารณาคดี คิดว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะพ้นผิด คืออยากให้นักศึกษาวิชากฎหมายมาศึกษาดู เพราะคดีนี้สำนวนคดีที่เพอร์เฟกต์  เป็นไปไม่ได้ที่จะพลิกคำตัดสิน เพราะเป็นสำนวนคดีที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  สำนักงานอัยการ นักวิชาการมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ส่วนตัวแล้ว  อยากให้ทนายโจทก์ ใช้โอกาสที่จะอุทธรณ์ เพิ่มโทษให้กับจำเลยที่ให้การสนับสนุนแอมด้วย  เพราะรองออฟ เค้าเป็นตำรวจที่ทำงานสอบสวน ที่รู้กฎหมายแต่กลับมาปฏิเสธว่าไม่ได้ช่วยแอม กระทำความผิด

สุดท้ายอยากบอกหนิม ภรรยาด้วยว่า ขอหายห่วง ในเรื่องที่จะไม่ได้รับความเป็นธรรม อยากให้หนิมมีความสุขในภพภูมิที่ต่างจากที่อยู่นี้

ด้านทนายรพีพัฒน์  กล่าวว่า กรณีก้อย การเสียชีวิต ซึ่งคดีนี้ศาลเห็นว่า ตัวแอม กับก้อย ไปด้วยกันสองต่อสอง พอก้อยล้มลง ตามวิญญูชน เมื่อเห็นก็ต้องช่วยเหลือแต่กลายเป็นว่า ฉกฉวยเอาทรัพย์สินกระเป๋าและโทรศัพท์ ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญทางคดีขับรถออกไป พอชันสูตรศพแล้วพบว่า มีการพบสารพิษไซยาไนด์ในร่างกายของผู้เสียชีวิต และยังพบหลักฐานที่ แอม มีการสั่งซื้อสารพิษ ซึ่งมีหลักฐานมัดตัว  ในทางคดีถือว่า เราชนะตามคำฟ้อง แต่เป็นหน้าที่ทนายจำเลยไปแก้คำอุทธรณ์สู้คดีต่อไป